indicator forex คืออะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ใช้อย่างไร

indicator forex คืออะไร

ตัวบ่งชี้ตลาดสำหรับ Forex เครื่องมือสำหรับใครที่นักเทรดใช้เพื่อวิเคราะห์และประเมินการตรวจสอบราคาของข้อมูลหรือการอ้างอิงทางการเงินต่าง ๆ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจซื้อหรือขายตลาดการเงินนั้นจะได้ใช้เป็นกราฟหรือแผนภาพ บรรทัดที่ไล่ตามนักวิเคราะห์ของราคา ซึ่งช่วยให้นักเทรดได้ข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเข้าหรือออกจากตลาด Forex ด้วยความมั่นใจมากขึ้น

 

ตัวชี้วัดในการวิเคราะห์และประเมินผลการวิเคราะห์ของราคาตรวจสอบหรือตอบคำถามทางการเงินต่างประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกที่ตัดสินใจได้ จากนั้นจะเป็นแบบเขียนหรือให้คะแนนสำหรับข้อมูลต่างๆ เช่น การปิดราคา เปิดราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด เป็นต้น การ ใช้ indicator สังเกตการณ์รับฟังผู้ตรวจสอบของราคาและความต้องการตัดสินใจซื้อหรือขายของในตลาด Forex จะช่วยให้นักเทรดได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในการอนุญาตหรือออกจากตลาดอยู่เสมอ

indicator forex มีกี่ประเภท

มีหลายสิ่งหลายอย่างรวมถึงตัวบ่งชี้ที่อนุญาตให้ใช้วิเคราะห์ตลาด Forex ซึ่งจะได้ข้อมูลจากนักวิเคราะห์เทคนิคและแหล่งที่มาของข้อมูลจากผู้ใช้หลักของตลาดทางนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ ยังตรวจสอบและเรียกดูข้อมูลของราคาโดยตัวบ่งชี้ที่อนุญาตให้ทำได้ ตามลักษณะการทำงาน ปฏิทิน กฎเกณฑ์ เช่น

ตัวบ่งชี้การติดตามแนวโน้ม

Trend Following Indicators หรือ เป้าหมายการไล่ตาม สมมติว่าเป็นชุดของเครื่องมือสำหรับนักเทรดที่ต้องการติดตามและวิเคราะห์นักวิเคราะห์ของราคาตลาด Forex หรือตลาดอื่น ๆ โดยสำหรับสิ่งเหล่านี้รวมถึงในการให้ระบุสำหรับ ของทุกครั้งราคาที่ต้องใช้หรือค่าเผื่อราคาในช่วงเวลาที่ตามมา

ตัวอย่างเช่น

    1. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA):เป็นกรณีที่คำนวณได้ของราคาที่กำหนดห้ามใช้ เช่น Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) อาจขอให้เมื่อ MA เริ่มเลื่อนขึ้นหรือลงเป็นสัญญาณ บอกถึงความต้องการของตลาด
    2. Parabolic SAR (Stop and Reverse):หรือ SAR เป็นคำถามที่ตามมาในการแสดงความต้องการ ซึ่งจะทำให้ราคาต่ำกว่าจุดก่อนหน้าที่จะอยู่ด้านล่าง สัญญาณที่จะบอกถึงความต้องการของผู้ซื้อ
    3. ADX (Average Directional Index):ชี้ว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวอย่างแน่นหนาในต่อปีใด ๆ มองหาการเปลี่ยนแปลงของตัวอย่างและผลลัพธ์ของบทความนี้
    4. Ichimoku Kinko Hyo: เป็นตัวบ่งชี้ที่มาจากญี่ปุ่น ประกอบด้วยหลายส่วน เช่น Tenkan-sen (ค่าเฉลี่ยระยะสั้น), Kijun-sen (ค่าเฉลี่ยระยะยาว), Senkou Span A และ Senkou Span B และบอกถึงแนวโน้มของราคา ระดับการสนับสนุน และเส้นกระจาย
    5. Moving Average Ribbon: เป็นการนำหลายเส้น MA ที่มีระยะเวลาต่าง ๆ มาวางในลำดับต่อกัน ช่วยในการแสดงความเรียบร้อยของแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของราคา

Oscillators

Oscillators หรือตัวบ่งชี้แนวโน้มของข้อมูลเป็น indicator ที่ช่วยในการวิเคราะห์และประเมินการเคลื่อนไหวของราคาหรือข้อมูลในรูปแบบของคลื่น โดยผลลัพธ์จะแสดงเป็นค่าบนกราฟหรือแผนภาพที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของ indicator ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ตัวบ่งชี้แนวโน้มของข้อมูลช่วยในการระบุสัญญาณซื้อขายและการวิเคราะห์ความเร็วและความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา

ตัวอย่างเช่น

    1. Relative Strength Index (RSI): RSI วัดความแรงและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยค่า RSI จะอยู่ในช่วง 0-100 ซึ่งค่าต่ำกว่า 30 แสดงถึงสินทรัพย์ที่มีการขายเกินกว่าที่ควร ส่วนค่าสูงกว่า 70 แสดงถึงสินทรัพย์ที่มีการซื้อเกินกว่าที่ควร
    2. Stochastic Oscillator: ตัวบ่งชี้ที่วัดความเร็วและความแรงของการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยแสดงค่าเป็นเส้น %K และ %D ซึ่งอยู่ในช่วง 0-100 โดยการข้ามเส้น %K และ %D กันในบริเวณค่า 20 และ 80 สามารถแสดงถึงการเข้าหรือออกจากตลาดได้
    3. Moving Average Convergence Divergence (MACD): ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มของราคาและการเปรียบเทียบระหว่างสองเส้น Moving Averages (ส่วนของค่าเร็วและค่าช้า) เพื่อระบุจุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคา
    4. Commodity Channel Index (CCI): ตัวบ่งชี้ที่วัดความห่างของราคาปัจจุบันจากค่าเฉลี่ยราคาปัจจุบัน ช่วยในการระบุสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงสิ้นสุดการเคลื่อนไหวของราคา
    5. Average Directional Index (ADX): ช่วยวัดแนวโน้มและความเข้มของแนวโน้ม โดยแสดงค่าในช่วง 0-100 เพื่อช่วยในการระบุแนวโน้มของตลาด

Volatility Indicators

ตัวบ่งชี้ความแปรปรวนของราคา (Volatility Indicators) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคในการวิเคราะห์ตลาดที่ช่วยให้นักเทรดเข้าใจระดับความแปรปรวนของราคาของสินทรัพย์หรือสกุลเงินที่เทรดในตลาด Forex โดยส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือนี้เพื่อแสดงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในตลาดในระยะเวลาที่กำหนดไว้

ตัวอย่างเช่น

    1. Bollinger Bands: นี่เป็นตัวบ่งชี้ความแปรปรวนที่นิยมและใช้งานได้หลากหลาย ประกอบด้วยเส้นกลางที่เป็น Moving Average และเส้นบนและเส้นล่างที่เรียกว่า Bollinger Bands ที่คำนวณจากค่าเบต้าของราคา ช่วยในการแสดงระดับความแปรปรวนของราคาและช่วยในการระบุช่วงราคาที่เป็นขอบเขตของการแปรปรวน
    2. Average True Range (ATR): นี่เป็นตัวบ่งชี้ที่ใช้ในการวัดความแปรปรวนของราคาโดยคำนวณจากค่าสูงสุดและต่ำสุดของราคาในแต่ละระยะเวลา ช่วยในการระบุระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในตลาด
    3. Chaikin Volatility: ตัวบ่งชี้นี้ใช้ Volume ร่วมกับความแปรปรวนของราคาในการคำนวณ ช่วยในการวิเคราะห์ว่าผู้เข้าร่วมตลาดเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อมีความแปรปรวนในราคา
    4. Keltner Channels: คล้ายกับ Bollinger Bands แต่ใช้ Average True Range (ATR) ในการกำหนดระดับของช่วงราคาที่เป็นขอบเขตของการแปรปรวน
    5. Donchian Channels: ตัวบ่งชี้นี้ใช้เส้นสูงสุดและต่ำสุดของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยในการแสดงความแปรปรวนของราคาและช่วยในการระบุช่วงราคาที่อาจกำหนดแนวโน้ม

Momentum Indicators

ตัวบ่งชี้เคลื่อนไหว (Momentum Indicators) ในตลาด Forex เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของการเคลื่อนไหวของราคา และช่วยในการระบุการเปลี่ยนแปลงแรงเคลื่อนไหวของตลาดในเวลาเทรด

ตัวอย่างเช่น

    1. Moving Average Convergence Divergence (MACD): แสดงถึงความแตกต่างระหว่างเส้นส่วนย่อยของ Moving Average สองเส้น (เส้นส่วนย่อยเร็วและเส้นส่วนย่อยช้า) และเส้น Signal Line (เส้นสัญญาณ) ช่วยในการระบุแนวโน้มของการเคลื่อนไหวและสัญญาณซื้อหรือขาย
    2. Relative Strength Index (RSI): วัดแรงของการซื้อขายโดยการเปรียบเทียบขอบเขตการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยในการระบุว่าตลาดอาจจะเกิดการซื้อขายเกินหรือไม่เพียงพอ
    3. Stochastic Oscillator: วัดความเร็วและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา โดยเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับช่วงราคาในอดีต ช่วยในการระบุช่วงเวลาที่ราคาอาจจะกลับตัว
    4. Commodity Channel Index (CCI): วัดความแตกต่างระหว่างราคาปัจจุบันกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยในการระบุความเร็วและความเร็วของการเคลื่อนไหว
    5. Momentum Indicator (MOM): วัดการเคลื่อนไหวโดยการเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับราคาในช่วงเวลาก่อนหน้า ช่วยในการระบุแนวโน้มของการเคลื่อนไหว
    6. Rate of Change (ROC): วัดความเร็วและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา โดยเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับราคาในช่วงเวลาก่อนหน้า

Fibonacci Indicators

Fibonacci Indicators หรือตัวบ่งชี้ที่มาจากตัวเลข Fibonacci เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่นักเทรดใช้ในการวิเคราะห์และการทำนายแนวโน้มของราคาในตลาดการเงิน ตัวเลข Fibonacci เป็นลำดับตัวเลขที่มีลักษณะเฉพาะ โดยทุกตัวเลขในลำดับนี้จะเป็นผลมาจากการบวกกันของตัวเลขสองตัวก่อนหน้า

ลำดับตัวเลข Fibonacci: 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, …

ในตลาด Forex, ตัวเลข Fibonacci ถูกนำมาใช้ในรูปแบบของตัวบ่งชี้เพื่อให้นักเทรดเข้าใจแนวโน้มของราคาและระดับราคาที่สำคัญ ด้วยหลักการของการกลับมาซ้ำของตัวเลขในลำดับ Fibonacci นักเทรดใช้ค่าเหล่านี้ในการวางแผนการเทรด โดยบ่งชี้ถึงระดับที่ราคาอาจจะถอดหรือเคลื่อนต่อไป

ตัวอย่างเช่น

    1. Fibonacci Retracements: ใช้เพื่อระบุระดับราคาที่สามารถเกิดการถอดขึ้นหรือถอดลงได้จากการเคลื่อนที่ของราคา เหล่านี้ประกอบด้วยระดับ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6% ซึ่งถูกคำนวณจากค่าสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด
    2. Fibonacci Extensions: ใช้เพื่อระบุระดับราคาที่สามารถเกิดการขยายตามทิศทางแนวโน้มของราคา ระดับที่นิยมใช้คือ 161.8%, 261.8%, และ 423.6% ซึ่งสามารถช่วยในการระบุระดับที่ราคาอาจจะถอดหรือขยายต่อไป
    3. Fibonacci Fans: ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและระดับราคาที่สำคัญ โดยการวาดเส้นช่วงระดับขึ้นตามแนวโค้งของตัวเลข Fibonacci
    4. Fibonacci Time Zones: ใช้ในการวิเคราะห์ระยะเวลาที่มีความสำคัญในการเคลื่อนไหวของราคา โดยอิงจากตัวเลข Fibonacci

indicator forex ใช้อย่างไร

Indicator ในตลาด Forex เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินแนวโน้มของราคาสกุลเงินหรือสินทรัพย์ทางการเงิน โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้นักเทรดมีข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาด นี่คือวิธีใช้ indicator ใน Forex โดยใช้ Moving Averages เป็นตัวอย่าง:

Moving Averages (MA) เป็น indicator ที่คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 50, 100, หรือ 200 วัน เพื่อแสดงแนวโน้มของราคาในระยะยาว การใช้ MA สามารถอธิบายได้ดังนี้:

    • เลือกระยะเวลา: เริ่มต้นโดยเลือกระยะเวลาที่ต้องการใช้ในการคำนวณ MA ซึ่งอาจเป็นจำนวนวันหรือช่วงเวลาที่คุณสนใจ เช่น 50 วัน, 100 วัน, หรือ 200 วัน
    • คำนวณค่าเฉลี่ย: หลังจากเลือกระยะเวลาที่ต้องการ ให้นับราคาปิดของแต่ละวันในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แล้วหาค่าเฉลี่ยโดยนำราคาทุกวันมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนวันทั้งหมด
    • พล็อตบนกราฟ: ทำการพล็อต MA บนกราฟราคา เมื่อคุณทำการคำนวณและได้ค่าเฉลี่ยแต่ละวันของระยะเวลาที่เลือก จะสร้างเส้นกราฟที่แสดงแนวโน้มของราคาในระยะเวลานั้น
    • การอ่านฉลาก:ในกรณีนี้ MA ของคุณเป็นเส้นเรียบและการเคลื่อนที่ของราคาเมื่อราคาข้าม MA จากด้านล่างด้านบนอาจมีสัญญาณรบกวนซื้อ (Buy) จากนั้นราคาข้าม MA จากด้านล่างสุดด้านล่างอาจได้รับการพิจารณา เป็นสัญญาณขาย (Sell)
    • การจัดการสำหรับ indicator อื่นๆ:เปรียบเทียบให้นักเทรดเทียบกับ MA ครบ indicator อื่นๆ เพื่อช่วยในการแจกในสนามเด็กเล่น