โครงสร้างราคา forex price structure สำหรับการวิเคราะห์ราคา อธิบายยกตัวอย่าง

โครงสร้างราคา forex price structure

“Forex price structure” หมายถึง รูปแบบและโครงสร้างของการเคลื่อนไหวราคาในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) รวมถึงแนวโน้มของราคา เส้นระดับราคาสนับสนุนและต้านทาน รูปแบบการเคลื่อนไหวบนกราฟราคา เช่น แบบรูปร่างและแบบรูปเทรนด์ผู้เข้าค้า รวมถึงค่าทางเทคนิคที่ช่วยในการวิเคราะห์และทำนายแนวโน้มของตลาด Forex ในอนาคต เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินกิจกรรมการเทรดและการตัดสินใจในการซื้อขายเงินตราต่างๆ ในตลาด Forex โดยรวบรวมคำสั้นๆได้ว่า “Forex price structure คือรูปแบบการเคลื่อนไหวราคาและโครงสร้างในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา.

Price Structure เป็นรูปแบบและโครงสร้างของราคาที่เกิดขึ้นในกราฟราคา นักเทรดสามารถรู้จัก Price Structure ได้จากการวาดเส้นระดับราคาสนับสนุนและระดับราคาต้านทานบนกราฟ รวมถึงรูปแบบเทคนิคต่างๆ ที่พบในการเคลื่อนไหวของราคา เช่น แบบรูปร่างของเทรนด์และรูปแบบแผนภาพเทคนิคต่างๆ การเข้าใจ Price Structure ช่วยในการเข้าใจแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในตลาด รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา เหตุผลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และที่สำคัญคือช่วยในการบ่งบอกแนวโน้มของราคาว่าอาจมีแนวโน้มขึ้น (Uptrend) หรือแนวโน้มลง (Downtrend) หรือแนวโน้มแบบแนวนอน (Sideways Trend)

โครงสร้างราคา forex price structure สำหรับการวิเคราะห์ราคา

โครงสร้างราคาในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex price structure) คือแบบแผนหรือรูปแบบของการเคลื่อนไหวของราคาในกราฟที่สามารถช่วยในการวิเคราะห์และการทำนายทิศทางและแนวโน้มของตลาด Forex ดังนี้

แนวโน้ม (Trend)

แนวโน้ม (Trend) ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) เป็นคำแสดงถึงทิศทางหรือแนวทางที่ราคากำลังเคลื่อนไปในระยะยาวหรือสั้น โดยการระบุว่าราคามีแนวโน้มขึ้นหรือลง เรื่องนี้มีความสำคัญสูงเพราะการรู้จักแนวโน้มช่วยให้นักเทรดสามารถทำนายทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาและตัดสินใจในการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพได้ แนวโน้มสามารถแบ่งออกเป็นหลายแบบด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

แนวโน้มขึ้น

แนวโน้มขึ้น (Uptrend) แนวโน้มขึ้นเกิดขึ้นเมื่อราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นในระยะเวลานาน ๆ โดยแนวโน้มนี้มักเป็นผลมาจากกำลังของผู้ซื้อที่มากกว่าผู้ขาย ราคาจะมีแนวโน้มเลื่อนขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แนวโน้มขึ้นสามารถรู้จักได้จากแนวราคาที่เคลื่อนที่เชิงบวกและการสร้างสถานการณ์สูงขึ้นและต่ำลงที่สูงขึ้น.

แนวโน้มลง

แนวโน้มลง (Downtrend) แนวโน้มลงเกิดขึ้นเมื่อราคามีการเคลื่อนไหวลงในระยะเวลานาน ๆ โดยแนวโน้มนี้อาจเกิดจากกำลังของผู้ขายที่มากกว่าผู้ซื้อ ราคาจะมีแนวโน้มเลื่อนลงในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แนวโน้มลงสามารถรู้จักได้จากแนวราคาที่เคลื่อนที่เชิงลบและการสร้างสถานการณ์ต่ำขึ้นและสูงขึ้นที่ต่ำลง.

แนวโน้มแบบแนวนอน

แนวโน้มแบบแนวนอน (Sideways Trend) แนวโน้มแบบแนวนอนหรือแนวโน้มข้ามหมายถึงช่วงเวลาที่ราคาขยับขึ้นและลงอยู่ในช่วงหนึ่ง ๆ แนวโน้มแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อกำลังของผู้ซื้อและผู้ขายสมดุลกัน ทำให้ราคาเคลื่อนที่แบบเรียบและไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก.

ระดับราคา

ระดับราคาสนับสนุนและระดับราคาต้านทานเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างราคาในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) และทั้งสองระดับนี้มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์และการเทรด ดังนี้:

    1. ระดับราคาสนับสนุน (Support Level): ระดับราคาสนับสนุนเป็นระดับที่ราคามักจะหยุดลงหรือถูกกดหยุดในการเคลื่อนไหว ซึ่งหมายความว่าในช่วงราคาต่ำ นักเทรดมีแนวโน้มที่จะซื้อเข้ามาเพื่อสร้างแรงกันในการลดการเข้าขาย ระดับราคาสนับสนุนสามารถเกิดขึ้นจากการหยุดลงของราคาเป็นชั่วคราว หรือจากเหตุการณ์เศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อตลาด นักเทรดส่วนใหญ่จะมองหาโอกาสซื้อ (Buy) เมื่อราคาใกล้ถึงระดับราคาสนับสนุน.
    2. ระดับราคาต้านทาน (Resistance Level): ระดับราคาต้านทานเป็นระดับที่ราคามักจะหยุดขึ้นหรือถูกกดหยุดในการเคลื่อนไหว ในช่วงราคาสูง นักเทรดมีแนวโน้มที่จะขายออกเพื่อสร้างแรงกันในการขึ้นขาย ระดับราคาต้านทานอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวแนวข้างของราคา หรือจากการตอบสนองต่อข่าวสารหรือเหตุการณ์ต่างๆ นักเทรดส่วนใหญ่จะพิจารณาการขาย (Sell) เมื่อราคาใกล้ถึงระดับราคาต้านทาน.

การระบุและวิเคราะห์ระดับราคาสนับสนุนและระดับราคาต้านทานมีความสำคัญในการเทรด Forex เนื่องจาก

    • การตัดสินใจเปิด-ปิดสถานะการซื้อขาย: ระดับราคาสนับสนุนและต้านทานช่วยในการกำหนดจุดที่เหมาะสมในการเปิด-ปิดตำแหน่งการซื้อขาย เช่น การซื้อที่ราคาสนับสนุนและการขายที่ราคาต้านทาน.
    • การจัดการความเสี่ยง: การรู้จักและใช้ระดับราคาสนับสนุนและต้านทานช่วยในการกำหนดระดับของการเข้า-ออกในการเทรด เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาเคลื่อนที่ในทิศทางที่ไม่คาดคิด.
    • การทำนายแนวโน้ม: การระบุระดับราคาสนับสนุนและต้านทานช่วยในการทำนายแนวโน้มของตลาด ถ้าราคาทะลุระดับราคาต้านทาน เป็นไปได้ว่าตลาดอาจเปลี่ยนแนวโน้มขึ้น.

การรู้จักแบบรูปร่างของเทรนด์

แบบรูปเทรนด์ (Chart Patterns) เป็นรูปแบบหรือรูปร่างที่เกิดขึ้นบนกราฟราคาที่มีบทบาทสำคัญในการบ่งบอกถึงแนวโน้มและการเคลื่อนไหวของตลาด นี่คือตัวอย่างของแบบรูปเทรนด์ที่พบบ่อยในตลาด Forex:

    1. แบบรูปเทรนด์ตรงข้าม (Reversal Patterns):
      • รูปแบบหัวไหล่และหัวไหล่แบบกลับ (Inverse Head and Shoulders): แบบรูปร่างที่แสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากตลาดแบบลงเป็นตลาดแบบขึ้น มักพบในช่วงลงตลาดแนวโน้ม.
      • รูปแบบฮาเมอร์และฮาเมอร์แบบกลับ (Hammer and Inverted Hammer): แบบรูปร่างที่บ่งบอกถึงการกลับกันของตลาดหลังจากแนวโน้มลง แสดงถึงความเข้มแรงของผู้ซื้อ.
    2. แบบรูปเทรนด์ดัมพ์ (Continuation Patterns):
      • รูปแบบความเบา (Flag Pattern): แบบรูปร่างที่เกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มแบบขึ้นหรือแนวโน้มลง เป็นการพักผ่อนก่อนที่ตลาดจะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม.
      • รูปแบบรอบ (Pennant Pattern): คล้ายกับรูปแบบความเบา แต่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมสี่เหลี่ยมแคบกว่า แสดงถึงการพักผ่อนก่อนการเคลื่อนไหวต่อไป.
    3. รูปแบบสามเหลี่ยม (Triangle Patterns):
      • รูปแบบสามเหลี่ยมขึ้น (Ascending Triangle): แบบรูปร่างที่แสดงถึงแนวโน้มขึ้น มักพบในช่วงตลาดแนวโน้มขึ้น.
      • รูปแบบสามเหลี่ยมลง (Descending Triangle): แบบรูปร่างที่บ่งบอกถึงแนวโน้มลง มักพบในช่วงตลาดแนวโน้มลง.
      • รูปแบบสามเหลี่ยมแบบแนวนอน (Symmetrical Triangle): แบบรูปร่างที่แสดงถึงการไม่แน่นอนในทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด.
    4. รูปแบบเรรวง (Wedge Patterns):
      • รูปแบบเรรวงขึ้น (Rising Wedge): แบบรูปร่างที่บ่งบอกถึงแนวโน้มขึ้น มักพบในช่วงตลาดแนวโน้มขึ้น.
      • รูปแบบเรรวงลง (Falling Wedge): แบบรูปร่างที่แสดงถึงแนวโน้มลง มักพบในช่วงตลาดแนวโน้มลง.
    5. รูปแบบคลื่น (Wave Patterns):
      • รูปแบบคลื่นเอลลิออต (Elliott Wave Pattern): รูปแบบที่ใช้สร้างโมเมนต์ราคาในแบบคลื่น ช่วยในการทำนายแนวโน้มตลาด.
    6. รูปแบบรูปแก้ว (Cup and Handle Pattern):
      • รูปแบบรูปแก้ว (Cup): แบบรูปร่างที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาเป็นรูปแก้ว แสดงถึงการพักผ่อนก่อนการเคลื่อนไหวต่อไป.
      • รูปแบบด้ามถาวร (Handle): ส่วนของรูปแบบรูปแก้วที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาเป็นด้ามถาวร ก่อนที่ราคาจะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม.

แบบรูปเทรนด์ผู้เข้าค้า

แบบรูปเทรนด์ผู้เข้าค้า (Candlestick Patterns) เป็นรูปแบบของแท่งเทียนแสงบนกราฟราคาที่สร้างขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เครื่องมือนี้ช่วยในการวิเคราะห์และทำนายสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มหรือการพักตัวของตลาด Forex ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างแท่งเทียนแสงต่างๆ นี่คือตัวอย่างของแบบรูปเทรนด์ผู้เข้าค้าที่พบบ่อย:

    1. Hammer (ฮาเมอร์): แบบรูป Hammer มีลักษณะเป็นแท่งเทียนแสงที่มีตัวเทียนยาวและร่างกายเทียนเล็กที่ด้านบน ส่วนเงินหายไป แบบรูปนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากแนวตกเป็นแนวขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการแก้ไข (Reversal) หลังจากแนวตกที่เกิดขึ้น.
    2. Shooting Star (ชูตติ้งสตาร์): แบบรูป Shooting Star มีลักษณะเป็นแท่งเทียนแสงที่มีตัวเทียนยาวและร่างกายเทียนเล็กที่ด้านล่าง ส่วนเงินหายไป แบบรูปนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากแนวขึ้นเป็นแนวตก อาจเป็นสัญญาณของการแก้ไข (Reversal) หลังจากแนวขึ้นที่เกิดขึ้น.
    3. Doji (โดจิ): แบบรูป Doji มีลักษณะเป็นแท่งเทียนแสงที่ร่างกายเทียนเล็กและไม่มีหางหรือหางสั้นมากข้างหนึ่ง แบบรูปนี้บ่งบอกถึงสภาวะตลาดที่เสมอภาค (Indecision) ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อาจเป็นสัญญาณของการพักตัวหรือการเปลี่ยนแนวโน้ม.
    4. Engulfing (เอ็งกัลฟิง): แบบรูป Engulfing ประกอบด้วยสองแท่งเทียนแสง แท่งแรกมีร่างกายเทียนเล็ก และแท่งที่สองมีร่างกายเทียนยาวกว่าแท่งแรกและกลางอยู่ภายในแท่งแรก แบบรูปนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มของตลาด.
    5. Dark Cloud Cover (ดาร์คเคลาว์ดคัฟเวอร์): แบบรูป Dark Cloud Cover ประกอบด้วยสองแท่งเทียนแสง แท่งแรกมีร่างกายเทียนยาวและขึ้นมา และแท่งที่สองมีร่างกายเทียนยาวกว่าแท่งแรกและกลางอยู่ภายในแท่งแรก แบบรูปนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากแนวขึ้นเป็นแนวตก.
    6. Morning Star (มอร์นิ่งสตาร์): แบบรูป Morning Star ประกอบด้วยสามแท่งเทียนแสง แท่งแรกเป็นแท่งตก แท่งที่สองมีร่างกายเทียนเล็กและอยู่ภายในของแท่งแรก และแท่งที่สามเป็นแท่งขึ้น แบบรูปนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากแนวตกเป็นแนวขึ้น.
    7. Evening Star (อีฟนิ่งสตาร์): แบบรูป Evening Star ประกอบด้วยสามแท่งเทียนแสง แท่งแรกเป็นแท่งขึ้น แท่งที่สองมีร่างกายเทียนเล็กและอยู่ภายในของแท่งแรก และแท่งที่สามเป็นแท่งตก แบบรูปนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากแนวขึ้นเป็นแนวตก.

ค่าทางเทคนิค

ค่าทางเทคนิค (Technical Indicators) คือเครื่องมือในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลราคาและข้อมูลเทรนด์ของตลาดเพื่อช่วยในการตัดสินใจในการเทรดในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) โดยใช้ข้อมูลทางเทคนิคต่างๆ เป็นพื้นฐาน ค่าทางเทคนิคช่วยให้นักเทรดเข้าใจแนวโน้มของตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาเพื่อสร้างสัญญาณการซื้อหรือขายที่มีการวิเคราะห์มากขึ้นได้ นี่คือบางตัวอย่างของค่าทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด Forex:

    • Moving Averages (MA): เป็นเส้นกราฟที่แสดงราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด มีหลายรูปแบบเช่น Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ช่วยในการตรวจสอบแนวโน้มและความเปลี่ยนแปลงของราคา.
    • Relative Strength Index (RSI): เป็นตัวชี้วัดที่วัดความเร็วและขนาดของการเคลื่อนไหวของราคา เช่น การขึ้นหรือลงมา ช่วยในการบ่งบอกว่าราคาขายกินหรือขายเกินกว่ามาตรฐาน.
    • Moving Average Convergence Divergence (MACD): เป็นตัวชี้วัดที่ผสมผสานระหว่างสองเส้นเอ็มเอ (Exponential Moving Average) และใช้ในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม.
    • Bollinger Bands: เป็นเส้นกราฟที่ประกอบด้วย 3 ส่วน คือเส้นเอ็มเอ (EMA) และเส้นบนและเส้นล่างที่มีค่าความกว้างแปรผันขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคา ช่วยในการจับตามแนวโน้มและความผันผวน.
    • Stochastic Oscillator: เป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดราคาปัจจุบันเปรียบเทียบกับช่วงราคาในอดีต ช่วยในการระบุความแรงของการเปลี่ยนแปลงราคา.
    • Ichimoku Cloud: เป็นตัวชี้วัดที่มีหลายส่วนประกอบ ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและสัญญาณการเทรด รวมถึงแนวรับและแนวต้านของราคา.
    • Fibonacci Retracement: ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มโดยใช้ระดับสัมประสิทธิ์ของ Fibonacci เพื่อระบุระดับราคาที่เป็นที่น่าสนใจในการเทรด.
    • Average True Range (ATR): มีไว้ใช้ในการวัดความเสี่ยงและความผันผวนของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด.
    • Parabolic SAR: เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยบ่งบอกแนวโน้มและจุดสลับการแนวโน้มของราคา.

เหตุการณ์เศรษฐกิจและข่าว

แนวทางของการวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) ซึ่งเน้นการประเมินผลกระทบของเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและข่าวสารต่างๆ ต่อการเคลื่อนไหวของราคา นี่คือตัวอย่างบางส่วนของเหตุการณ์และข่าวที่ส่งผลต่อตลาด Forex:

    1. อัตราดอกเบี้ย: การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศสามารถส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินของประเทศนั้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอาจเป็นสัญญาณให้ค่าเงินของประเทศดังกล่าวมีความมั่นคงและน่าสนใจสำหรับนักเทรด Forex.
    2. ข้อมูลการจัดการเศรษฐกิจของประเทศ: ข้อมูลเช่น GDP (Gross Domestic Product), CPI (Consumer Price Index), PPI (Producer Price Index), และค่าบรรยายการจ้างงาน (Employment Data) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยในการวิเคราะห์สุขภาพเศรษฐกิจของประเทศและสามารถส่งผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น.
    3. การประชุมของธนาคารกลาง: การประชุมของธนาคารกลางเช่นการประชุมของคณะกรรมการด้านการเงิน (FOMC) ของธนาคารสำรองแห่งสหรัฐอเมริกาสามารถมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและค่าเงินของดอลลาร์สหรัฐ.
    4. เหตุการณ์ทางการเมือง: การเปลี่ยนแปลงในระดับการเมืองหรือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศสามารถส่งผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งที่มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ.
    5. เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์และทางสากล: ภัยพิบัติธรรมชาติ เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ เช่น แผ่นดินไหว สามารถส่งผลต่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ ข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในการซื้อขายระหว่างประเทศ นโยบายการควบคุมทางเงิน และเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกสามารถส่งผลต่อค่าเงินของหลายประเทศในเวลาเดียวกัน.
    6. ข่าวสารทางการเงิน: ข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทใหญ่ สถาบันการเงิน และกิจการทางการเงินอื่นๆ สามารถมีผลกระทบต่อค่าหุ้นหรือค่าเงินของสกุลเงินที่เกี่ยวข้อง.

การวิเคราะห์ราคา forex price structure

การวิเคราะห์ราคาในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) ด้วยการใช้รูปแบบหรือโครงสร้างราคา (Price Structure) มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. การระบุแนวโน้ม (Identify the Trend): การเริ่มต้นด้วยการระบุแนวโน้มของราคา ว่ามีแนวโน้มขึ้น (Uptrend) หรือแนวโน้มลง (Downtrend) หรือเป็นแนวโน้มแบบแนวนอน (Sideways Trend) นักเทรดสามารถใช้แบบรูปร่างต่างๆ เช่น แบบรูปเทรนด์ผู้เข้าค้าหรือแบบรูปร่างแท่งเทียนแสงเพื่อระบุแนวโน้ม.
  2. การระบุระดับราคาสนับสนุนและต้านทาน (Identify Support and Resistance Levels): ระดับราคาสนับสนุน (Support) และระดับราคาต้านทาน (Resistance) เป็นจุดที่ราคามักจะมีการพุ่งหรือถูกกดหยุด นักเทรดสามารถระบุระดับเหล่านี้โดยใช้ข้อมูลจากกราฟเพื่อช่วยในการตัดสินใจในการเทรด.
  3. การรู้จักแบบรูปเทรนด์ (Pattern Recognition): การตระหนักถึงแบบรูปเทรนด์ที่เกิดขึ้นบนกราฟ เช่น แบบรูปร่างของเทรนด์เช่น แบบรูปเทรนด์ผู้เข้าค้าหรือแบบรูปร่างแท่งเทียนแสงที่เป็นสัญญาณสำคัญในการเคลื่อนไหวของราคา.
  4. การใช้เครื่องมือทางเทคนิค (Technical Tools): การใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น ค่าเบลล์จิงเกอร์แบนด์ (Bollinger Bands) และไอคิโมคลาว์ด (Ichimoku Cloud) เพื่อวิเคราะห์ความแรงของเทรนด์ ค่าผันผวน และจุดเข้าออกตามสัญญาณที่เกิดขึ้น.
  5. การวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ (Fundamental Analysis): การตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด Forex เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจหลัก (GDP, CPI, Unemployment Rate) และเหตุการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ.
  6. การใช้สัญญาณการเทรด (Trading Signals): การตรวจสอบสัญญาณการเทรดที่เกิดขึ้นจากรูปแบบราคา เช่น สัญญาณขายเมื่อราคาตัดระดับราคาต้านทานและสัญญาณซื้อเมื่อราคาตัดระดับราคาสนับสนุน.
  7. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): การใช้เทคนิคการบริหารความเสี่ยงเพื่อการเทรดที่มีความปลอดภัย เช่น การกำหนดขนาดพอร์ตการเทรดและการใช้ Stop-Loss เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวไม่ตามทิศทางที่คาดคิด.