3 M คืออะไร Money management Minde Method ระบบเทรดของ Elexander elder

3 M คืออะไร

เทคนิค “Forex 3M” หรือ “3M Trading Strategy” เป็นเชิงกฎหมายที่นำเสนอแนวคิดการเทรดบนตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) ที่รวมความสำคัญของ Money Management (การจัดการความเสี่ยง), Mindset (จิตวิทยา), และ Method (วิธีการเทรด) เพื่อสร้างการเทรดที่มีประสิทธิภาพและความสำเร็จที่ยาวนาน ด้วยการควบคุมความเสี่ยง, มีจิตวิญญาณที่เสถียร, และใช้วิธีการเทรดที่ชัดเจน ผู้เทรดสามารถปรับปรุงการตัดสินใจและการบริหารเงินในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

แนวคิด “Forex 3M” ในการทำธุรกรรมบนตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) รวมถึงการใช้งานตัวชี้วัดอินดิเคเตอร์เช่น Stochastic Oscillator และ Relative Strength Index (RSI) เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและช่วยตัดสินใจ ในการเข้า-ออกซื้อขายบนตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) เพื่อสร้างผลกำไรยั่งยืน แนวคิดนี้เติบโตขึ้นจากความเข้าใจถึงความสำคัญของการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงในจิตวิญญาณเทรดเดอร์ และการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดอย่างถูกต้อง

Money management

Money Management (การบริหารเงิน) ในบริบทของการเทรดหรือลงทุน เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทุนหรือเงินที่คุณมีในบัญชีการเทรดเพื่อควบคุมความเสี่ยงและสร้างความเสถียรในการดำเนินการเทรด การบริหารเงินเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการเทรดทุกประเภท เพราะมันช่วยปกป้องทุนของคุณและช่วยให้คุณมีโอกาสสูงขึ้นในการรอดตลอดระยะยาว หลักการของ Money Management ประกอบด้วย

การกำหนดขนาดการเทรด

การกำหนดขนาดการเทรด (Position Sizing) เป็นกระบวนการที่ผู้เทรดใช้เพื่อกำหนดขนาดหรือปริมาณของสัญญาที่จะซื้อหรือขายในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับขนาดของทุนที่มีอยู่ในบัญชีการเทรด และระดับความเสี่ยงที่พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด การกำหนดขนาดการเทรดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อควบคุมความเสี่ยงและสร้างความเสถียรในการเทรด มีหลายวิธีในการกำหนดขนาดการเทรด แต่ลำดับของขั้นตอนทั่วไปอาจมีดังนี้

    • กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ: ก่อนที่คุณจะกำหนดขนาดการเทรด คุณควรกำหนดระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับในแต่ละเทรด เช่น เปอร์เซ็นต์ของทุนที่คุณยอมรับในการสูญเสีย.
    • คำนวณขนาดการเทรด: จากนั้นคุณสามารถใช้สูตรหรือวิธีการคำนวณเพื่อหาขนาดการเทรดที่เหมาะสม วิธีที่บางครั้งถูกนำมาใช้คือ Fixed Fractional Position Sizing ซึ่งคำนวณขนาดสัญญาโดยใช้เปอร์เซ็นต์ของทุนที่จะเสี่ยงในแต่ละเทรด เช่น 2% หรือ 3% ของทุนทั้งหมด.
    • การนำสู่การเทรด: เมื่อคุณกำหนดขนาดการเทรดที่เหมาะสมตามขั้นตอนข้างต้น คุณสามารถนำขนาดนี้ไปใช้ในการเทรดจริง ๆ โดยซื้อหรือขายสัญญาตามตลาดที่คุณต้องการ.
    • การรักษาการกำหนดขนาด: สุดท้ายคือควรรักษาการกำหนดขนาดการเทรดเหมือนกันในทุกครั้งที่คุณเข้า-ออกซื้อขาย เพื่อความเสถียรและการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพ.

การกำหนด Stop Loss และ Take Profit

การกำหนดระดับ Stop Loss และ Take Profit เป็นส่วนสำคัญของ Money Management ในการเทรดหรือลงทุนในตลาด Forex ซึ่งช่วยในการควบคุมความเสี่ยงและกำไรที่คุณต้องการในแต่ละการเทรด นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับการกำหนด Stop Loss และ Take Profit

    • Stop Loss (SL): ระดับ Stop Loss คือระดับราคาที่คุณกำหนดเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเทรด หากตลาดเคลื่อนที่ในทิศทางที่ทำให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงและถึงระดับ Stop Loss ที่คุณกำหนด เทรดจะถูกปิดโดยอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงที่คุณจะเสียเงินมากขึ้น การกำหนดระดับ Stop Loss ควรอิงกับวิเคราะห์ทางเทคนิคและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ในแต่ละการเทรด
    • Take Profit (TP): ระดับ Take Profit คือระดับราคาที่คุณกำหนดเพื่อเข้าถึงกำไรในการเทรด หากตลาดเคลื่อนที่ในทิศทางที่ทำให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงและถึงระดับ Take Profit ที่คุณกำหนด เทรดจะถูกปิดโดยอัตโนมัติเพื่อให้คุณสามารถแปรผลกำไรจากการเทรดนั้นได้ การกำหนดระดับ Take Profit ควรอิงกับวิเคราะห์ทางเทคนิคและเป้าหมายกำไรที่คุณต้องการในการเทรด

การควบคุมการเสี่ยง

การควบคุมการเสี่ยง (Risk Control) เป็นส่วนสำคัญของการบริหารเงินในการเทรดหรือลงทุนที่มุ่งหวังให้เกิดความเสถียรและความยั่งยืนในการดำเนินการ เป้าหมายของการควบคุมการเสี่ยงคือการจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเทรดหรือลงทุนให้เป็นไปตามความสามารถและความพร้อมของผู้เทรด ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสสูงขึ้นในการรักษาทุนและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงความสำเร็จในระยะยาว การควบคุมการเสี่ยงด้วยหลายวิธี ดังนี้

    • การกำหนดขนาดการเทรดที่เหมาะสม (Position Sizing): กำหนดว่าจะลงทุนในการเทรดในระดับเท่าใดในแต่ละครั้ง โดยคำนวณจากจำนวนทุนที่คุณมีและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแต่ละเทรด
    • การใช้ Stop Loss และ Take Profit: ตั้งระดับ Stop Loss เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการสูญเสีย และตั้งระดับ Take Profit เพื่อบังคับให้เราทำกำไรตามที่เราต้องการ
    • การคำนวณสัดส่วนความเสี่ยง-ผลกำไร (Risk-Reward Ratio): คำนวณว่าระดับความเสี่ยงที่เราต้องการต่อการเทรดเท่าใด เมื่อเทียบกับผลกำไรที่เราคาดหวัง ความสัมพันธ์นี้ช่วยให้รู้ว่าเรามีโอกาสสูงหรือต่ำในการทำกำไรเมื่อเทรด
    • การควบคุมจำนวนเทรดในเวลาเฉพาะ (Trading Frequency Control): กำหนดจำนวนการเทรดในเวลาที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าถึงตลาดในช่วงที่ไม่เหมาะสม ที่อาจเสี่ยงต่อการสูญเสีย
    • การวางแผนการเทรด (Trading Plan): สร้างแผนการเทรดที่รวมถึงการบริหารเงิน ความเสี่ยง และเป้าหมายการเทรดเพื่อให้มีการทำกำไรและสร้างความเสถียรในระยะยาว

การควบคุมทุน 

การควบคุมทุน (Capital Preservation) เป็นหลักการที่สำคัญในการบริหารเงินเพื่อปกป้องทุนที่คุณมีในบัญชีการเทรดหรือการลงทุนในตลาดทุน เป้าหมายของการควบคุมทุนคือการรักษาส่วนเกินในทุนให้อยู่ในระดับที่เสี่ยงที่ยอมรับได้ และหลีกเลี่ยงการเสี่ยงที่สามารถทำให้สูญเสียทุนหรือล้มเหลวในการเทรดทั้งหมด โดยการควบคุมทุนในการเทรดหรือการลงทุนด้วยหลายวิธี ดังนี้

    • กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ: ก่อนที่จะทำการเทรด คุณควรกำหนดสัดส่วนของทุนที่คุณยอมรับในการสูญเสียในแต่ละเทรด นั่นคือระดับที่คุณรู้สึกสบายและไม่ทำให้คุณต้องถอนตัวออกจากการเทรดเมื่อเกิดสูญเสีย
    • ใช้ Stop Loss อย่างมีประสิทธิภาพ: การตั้งระดับ Stop Loss เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการสูญเสียที่ไม่คาดคิด ระดับ Stop Loss ควรถูกตั้งให้ใกล้กับระดับราคาที่หากตลาดเคลื่อนไปในทิศทางที่ผิดเสมอ คุณจะไม่สูญเสียจำนวนเงินมากเกินไป
    • ใช้การบริหารเงินตามกฎ 1-2%: หนึ่งในกฎที่นิยมใช้กันคือการไม่เสี่ยงมากกว่า 1-2% ของทุนในการเทรดในแต่ละครั้ง นั่นหมายความว่าหากคุณมีทุน 1000 ดอลลาร์ คุณควรไม่เสี่ยงเกิน 10-20 ดอลลาร์ในแต่ละเทรด
    • หลีกเลี่ยงการเทรดในระยะเวลาที่มีความเสี่ยงสูง: ในบางกรณี ตลาดอาจมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงมากในระยะเวลาสั้น คุณควรหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงเวลาดังกล่าวหากคุณไม่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับความเสี่ยง
    • การควบคุมการเรียกใช้การเพิ่มทุน (Leverage): หากคุณใช้การเพิ่มทุนในการเทรด (Leverage) คุณควรระมัดระวังในการใช้งาน การใช้งานเพิ่มทุนมีความเสี่ยงที่จะทำให้ความขาดทุนของคุณมากขึ้นเช่นกัน

Minde

Mindset หรือ จิตวิญญาณในการเทรดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) และในการเงินทั้งหมด มันแสดงถึงวิธีคิด ทัศนคติ และอารมณ์ของผู้เทรดต่อการเผชิญกับความล้มเหลวและความสำเร็จในตลาด การมี Mindset ที่เหมาะสมสำหรับการเทรด Forex มีปัจจัยหลายอย่าง:

  1. อดทนและตระหนักถึงความเสี่ยง: ผู้เทรดควรเข้าใจว่าการซื้อขายในตลาด Forex เป็นการเสี่ยงสูง และควรมีความพร้อมที่จะรับมือกับความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น เขาควรมีอดทนและความตระหนักถึงความเสี่ยงเพื่อไม่ให้ตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก.
  2. เปิดรับการเปลี่ยนแปลง: ตลาด Forex เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ผู้เทรดควรเป็นผู้ที่เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี แนวโน้มตลาด และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ใหม่ เช่น ข่าวเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด มีความสำคัญเป็นสิ่งสำคัญในการมีผลประสิทธิภาพในการเทรด.
  3. การรับมือกับความผิดพลาด: ความสำเร็จในการเทรดไม่มากับความครบถ้วนเสมอไป การที่คุณเสียเงินหรือตัดสินใจไม่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่าคุณล้มเหลว ผู้เทรดควรเรียนรู้จากความผิดพลาดและพัฒนาตนเองเพื่อปรับปรุงผลงานในอนาคต.
  4. ความสมดุลระหว่างความรับผิดชอบและความท้าทาย: Mindset ที่ดีคือความสมดุลระหว่างการรับผิดชอบและความท้าทาย ผู้เทรดควรรับผิดชอบในการตัดสินใจของตนเองและรับผิดชอบในผลลัพธ์ พร้อมทั้งกล้าที่จะเผชิญความท้าทายและพยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ.

Method

Momentum (เคลื่อนไหว) เป็นคำที่ใช้ในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของราคาหรือสัญญาณในตลาดทางการเงิน เช่น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) หุ้น หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ส่วนใหญ่มักใช้เทคนิคเพื่อหาสัญญาณซื้อหรือขายที่มีโอกาสเป็นมากขึ้น ในการเทรด Forex และตลาดอื่น ๆ การวิเคราะห์ Momentum เกี่ยวข้องกับความเร็วของการเคลื่อนไหวของราคา สัญญาณเคลื่อนไหวอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงราคาเฉพาะเวลาหรือระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น สัญญาณในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การข้ามขอบค่าบนหรือข้างล่างของตัวชี้วัดเทคนิคที่ชื่อว่า “Momentum Oscillator” เช่น “Relative Strength Index (RSI)” หรือ “Moving Average Convergence Divergence (MACD)”

การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีปริมาณซื้อขายสูงขึ้น อาจจะเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังมีแรงเคลื่อนไหว หรืออาจแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในแนวโน้มราคา การวิเคราะห์เคลื่อนไหวเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเทรด เพราะสามารถช่วยบ่งชี้ว่าตอนนี้ตลาดมีความเร็วและแนวโน้มไปทางใด ผู้เทรดสามารถใช้ข้อมูลเคลื่อนไหวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดสถานะการเทรด เช่น เปิดการเทรดเมื่อมี Momentum แรงขึ้น หรือปิดการเทรดเมื่อ Momentum เริ่มลดลง

ระบบเทรดของ Elexander elder

ระบบเทรดของ Alexander Elder เป็นหนึ่งในระบบเทรดที่ค่อนข้างมีความนิยมในวงการการเงินและตลาดหลังการตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) และตลาดอื่น ๆ ระบบนี้เรียกว่า “Triple Screen Trading System” หรือ “ระบบการเทรดแบบหน้าจอสามจอ” โดยรวมถึงการใช้กราฟราคาในหลายช่วงระยะเวลาเพื่อทำการวิเคราะห์และตัดสินใจในการเข้าออกทำธุรกรรม หลักการของระบบเทรดนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักดังนี้

  1. Screen 1: Market Tide (คลื่นตลาด): ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว โดยใช้กราฟราคาในระยะเวลายาว เช่น 1 ปีหรือมากกว่า ส่วนนี้ใช้เพื่อดูแนวโน้มที่ยาวนานของตลาด โดยใช้เครื่องมือเช่นเส้นเรียงเคลื่อนที่ (Trendlines) เพื่อแสดงแนวโน้มของราคา.
  2. Screen 2: Market Wave (คลื่นตลาด): ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มระยะกลาง โดยใช้กราฟราคาในระยะเวลากลาง ส่วนนี้เน้นการวิเคราะห์เคลื่อนไหวราคาในช่วงระยะเวลาระหว่างกลาง โดยใช้ตัวชี้วัดและเครื่องมือเทคนิคเพื่อตรวจสอบสัญญาณเข้า-ออกทำธุรกรรม.
  3. Screen 3: Market Ripples (คลื่นตลาด): ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น โดยใช้กราฟราคาในระยะเวลาสั้น ส่วนนี้เน้นการเลือกจุดเข้า-ออกทำธุรกรรมที่เหมาะสมในระยะสั้น โดยใช้ตัวชี้วัดและเครื่องมือเทคนิคเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวขนาดเล็ก.