break out forex คืออะไร
คำว่า “break out” ในที่นี้เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในตลาดการซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือตลาด “Forex” (Foreign Exchange) เพื่อแสดงถึงกระแสการเคลื่อนไหวของราคาในแนวทางใดแนวทางหนึ่งที่ผ่านระดับราคาที่สำคัญหรือกำหนดไว้ล่วงหน้า การ “breakout” เป็นเหตุการณ์ที่นักเทรดสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมันสามารถสร้างโอกาสให้กับการทำกำไรได้ นักเทรดจะติดตามแนวราคาที่สำคัญ เช่น ระดับการต้านทานหรือระดับการสนับสนุน และหากเห็นสัญญาณของการ “breakout” พวกเขาอาจตัดสินใจเปิดตำแหน่งซื้อหรือขายในทิศทางของการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น โดยหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างต่อเนื่อง
การ “break out” ใน Forex หมายถึงราคาเงินตราที่ผ่านหรือบิดขึ้นเกินระดับราคาที่เคยถูกตั้งไว้ (ระดับการต้านทานหรือระดับการสนับสนุน) ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีแรงขับเคลื่อนที่ส่งผลให้ราคาขึ้นไปเกินระดับเดิม เช่น การปลดล็อคข่าวสารที่มีผลกระทบต่อตลาดหรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทำให้ผู้เข้าร่วมตลาดต้องปรับเปลี่ยนการวางแผนการซื้อขายของพวกเขาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ประเภทของ Breakout
การเข้าใจและนำไปใช้ประเภทของ “breakout” ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายและการทำกำไรในตลาดการเงิน โดยประเภทของ “breakout” ที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
Breakout ภายในแท่งเทียน
นักเทรดมักใช้แนววิธีนี้ในกราฟแท่งเทียนในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 1-5 นาที การ “breakout” จะเกิดขึ้นเมื่อราคาพุ่งขึ้นหรือตกลงเกินระดับราคาที่ถูกกำหนดในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่สนใจการเคลื่อนไหวราคาอย่างรวดเร็ว เช่น เทรดเดอร์ประเภท Scalping
Breakout ที่แนวรับ-แนวต้าน
ประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการเข้าและออกจากตลาดโดยใช้แนวรับแนวต้าน โดยแนวรับแนวต้านเป็นระดับราคาที่สำคัญและมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคา ประเภทนี้ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
-
- Breakout ที่แนวรับ-แนวต้านเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: เมื่อราคาข้ามกลางระดับราคาสำคัญ เช่น เมื่อเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น การ “breakout” แบบนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มที่เกิดขึ้นในตลาด
- Breakout ที่แนวรับ-แนวต้านเพื่อแสดงการไปต่อของแนวโน้ม: เมื่อราคาข้ามกลางระดับราคาสำคัญแล้วกลับกลายเป็นแนวเดิม เกิดการพักตัวขณะหนึ่งก่อนที่ราคาจะไปตามแนวโน้มเดิมอีกครั้ง
ประโยชน์ของการใช้ค่า Breakout
การใช้ค่า Breakout ในการซื้อขายและวิเคราะห์ตลาดนั้นมีประโยชน์มากมายสำหรับนักเทรด นี่คือบางประโยชน์ที่สำคัญของการใช้ค่า Breakout:
-
- การระบุจุดเข้าและออกที่แน่นอน: การใช้ค่า Breakout ช่วยให้นักเทรดระบุจุดที่เหมาะสมในการเข้าและออกจากตลาดอย่างแม่นยำ โดยค่า Breakout จะช่วยระบุว่าเมื่อราคาข้ามขึ้นหรือข้ามลงจากแนวรับแนวต้านสำคัญ มีโอกาสในการเคลื่อนไหวตามทิศทางที่เรียกว่า “breakout direction”
- บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเทรนด์: ค่า Breakout ช่วยให้นักเทรดเห็นความแข็งแกร่งของเทรนด์ที่เกิดขึ้น หากมี “breakout” ที่เกิดขึ้นด้วยปริมาณที่มากและราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางของ “breakout” มากขึ้น นักเทรดสามารถรู้ว่าเทรนด์นั้นมีโอกาสเป็นอย่างมาก
- เป็นเครื่องมือสำหรับการวางแผนเทรด: การใช้ค่า Breakout เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนเทรดและการจัดการกับความเสี่ยง นักเทรดสามารถกำหนดระดับของการหักล้าง (Stop Loss) และเป้าหมายกำไร (Take Profit) จากค่า Breakout เพื่อให้การซื้อขายมีความสมดุลและเสี่ยงที่ควบคุมได้
- การจับตามเทรนด์ใหม่: ค่า Breakout ช่วยให้นักเทรดเห็นการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ที่เกิดขึ้น โดยการ “breakout” อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าเทรนด์ในระดับราคาใดเริ่มเปลี่ยนทิศทาง
- เพิ่มโอกาสในการกำไร: การเข้าทำ “breakout” ให้โอกาสในการกำไรสูงขึ้น โดยที่นักเทรดสามารถตั้งค่าการหักล้างที่ระดับที่เหมาะสมและกำหนดเป้าหมายกำไรที่มากกว่าโอกาสเคลื่อนไหวปกติ
- ช่วยลดความผิดพลาดทางการวิเคราะห์: ค่า Breakout ช่วยลดความผิดพลาดในการวิเคราะห์โดยนักเทรดสามารถพิจารณาค่า Breakout เพื่อบ่งชี้สัญญาณเข้าหรือออกจากตลาด
- เพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ: การใช้ค่า Breakout ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจของนักเทรด หากมี “breakout” ที่ชัดเจนและราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เรียกว่า “breakout direction” นักเทรดจะรู้สึกมั่นใจกว่าในการที่จะเข้าหรือออกจากตลาด
จุดซื้อ จุดขาย คืออะไร
“จุดซื้อ” (Entry Point) และ “จุดขาย” (Exit Point) เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการซื้อขายในตลาดเงินทุน รวมถึงตลาดการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (Forex) หรือตลาดอื่น ๆ เพื่อแสดงถึงจุดที่นักเทรดตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาดเพื่อทำกำไรหรือลดขาดทุน นี่คือคำอธิบายของทั้งสองคำ:
จุดซื้อ (Entry Point)
เป็นจุดที่นักเทรดตัดสินใจที่จะเข้าสู่ตลาดและเปิดตำแหน่งซื้อ (Long Position) หรือตำแหน่งขาย (Short Position) โดยอิงจากการวิเคราะห์ตลาด แบบมีราคาเป้าหมายที่เราคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนไปในทิศทางที่เราต้องการ จุดซื้อสามารถเกิดขึ้นเมื่อเรามีเหตุผลและการวิเคราะห์ที่รองรับการเข้ารับสินค้าในตลาด
จุดขาย (Exit Point)
เป็นจุดที่นักเทรดตัดสินใจที่จะออกจากตลาดและปิดตำแหน่งซื้อหรือขาย เพื่อทำกำไรหรือลดขาดทุน นักเทรดอาจใช้วิธีการต่างๆ เช่นการกำหนดเป้าหมายทางราคา การใช้แนวรับแนวต้าน การวิเคราะห์กราฟ หรือตัวชี้วัดเพื่อการตัดสินใจในการปิดตำแหน่ง
วิธีดูจุดซื้อ จุดขาย
การดูจุดซื้อและจุดขายในการซื้อขายเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายวิธีที่นักเทรดใช้เพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาด นี่คือขั้นตอนพื้นฐานในการดูจุดซื้อและจุดขาย:
- วิเคราะห์กราฟ: การวิเคราะห์กราฟราคาเป็นวิธีที่สำคัญในการรับรู้เครื่องราคา คุณสามารถใช้เครื่องมือกราฟเพื่อจำแนกแนวโน้มของราคา เช่น เส้นราคาเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) และแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) เพื่อค้นหาโอกาสทางเทรด
- ตัวชี้วัดเทคนิค: มีหลายตัวชี้วัดเทคนิคที่ช่วยในการแสดงสัญญาณเข้าหรือออกจากตลาด เช่น Relative Strength Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD), Bollinger Bands, Stochastic Oscillator เป็นต้น การสังเกตค่าตัวชี้วัดเหล่านี้เมื่อพวกเขาแสดงสัญญาณซื้อขายสามารถช่วยในการประเมินสภาพตลาด
- แนวรับแนวต้าน: เป็นคอนเซปต์ทางเทคนิคที่สำคัญในการวิเคราะห์กราฟราคาและการซื้อขาย แนวรับแนวต้านเป็นระดับราคาที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคา นักเทรดใช้แนวรับแนวต้านเพื่อตัดสินใจในการเข้าและออกจากตลาด นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน:
- แนวรับ (Support): แนวรับเป็นระดับราคาที่มีแนวโน้มที่ราคามักจะหยุดขายลงและเริ่มขึ้นในกรณีที่ราคาลดลงมาจากขั้นสูงก่อนหน้านั้น เมื่อราคาเข้าสู่แนวรับ เครื่องมือกราฟอาจแสดงสัญญาณว่าราคาอาจขึ้นขึ้นหรือพักตัว แนวรับสามารถเป็นแนวเส้นแนวโน้ม (Trendline) หรือระดับราคาที่เคยเป็นแนวต้านและถูกบุคคลนักเทรดระบุว่ามีความสำคัญ
- แนวต้าน (Resistance): แนวต้านเป็นระดับราคาที่มีแนวโน้มที่ราคามักจะหยุดซื้อลงและเริ่มต้นลดลงในกรณีที่ราคาเพิ่มขึ้นมาจากระดับต่ำก่อนหน้านั้น เมื่อราคาเข้าสู่แนวต้าน เครื่องมือกราฟอาจแสดงสัญญาณว่าราคาอาจลดลงหรือพักตัว แนวต้านสามารถเป็นแนวเส้นแนวโน้ม (Trendline) หรือระดับราคาที่เคยเป็นแนวรับและถูกบุคคลนักเทรดระบุว่ามีความสำคัญ
- ข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์: ข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อตลาดการเงิน การติดตามข่าวสารเหล่านี้สามารถช่วยในการทำความเข้าใจสภาพตลาดและจุดเริ่มต้นในการวางแผนการซื้อขาย หรือข้อมูลการจัดการเศรษฐกิจเช่นอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate), อัตราผลตอบแทนการลงทุน (Interest Rates), และนโยบายการเงิน (Monetary Policy) สามารถมีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอาจส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง
- การวิเคราะห์เทคนิคอื่น ๆ: นอกเหนือจากตัวชี้วัดที่กล่าวมา การวิเคราะห์เทคนิคอาจใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น แบบรูปแท่งเทียน (Candlestick Patterns)แบบรูปแท่งเทียนเป็นรูปแบบของแนวโน้มที่เกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบระหว่างราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด โดยมีรูปแบบต่าง ๆ , แนวเฉียง (Trendlines) เป็นการวาดแนวเฉียงบนกราฟเพื่อเชื่อมต่อจุดความสูงหรือต่ำของราคา แนวเฉียงช่วยในการระบุแนวโน้มของตลาดว่าเป็นขาขึ้น ขาลง หรือเคลื่อนที่แนวเส้นแนวตั้ง, และอื่น ๆ
- การจัดการความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญของการซื้อขายและลงทุนที่มุ่งหวังให้ลดความเสี่ยงของการขาดทุน การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบโอกาสทางเทคนิค แต่ยังเกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม นี่คือขั้นตอนและหลักการสำคัญในการจัดการความเสี่ยง:
- กำหนดระดับการเสี่ยง (Risk Tolerance): ในการเริ่มต้นจะต้องกำหนดระดับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับได้ เพื่อให้การตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดของธุรกรรมและการจัดการพอร์ตโดยรวมเป็นไปในทางที่ถูกต้อง
- การใช้ขนาดธุรกรรม (Position Sizing): หลีกเลี่ยงการวางเดิมพันในธุรกรรมที่มีขนาดใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดพอร์ต ความเสี่ยงควรจะสอดคล้องกับขนาดการซื้อขาย
- การตั้งขีดจำกัดขาดทุน (Stop Loss): คือการกำหนดระดับราคาที่คุณพร้อมตัดสินใจว่าถ้าราคาลงมาถึงและพลาดการเคลื่อนไหวในทางที่คาดหวัง คุณจะตัดสินใจออกจากตลาดเพื่อลดการขาดทุน
- การหาค่าส่วนแบ่ง (Reward-to-Risk Ratio): ก่อนจะทำธุรกรรม คุณควรวางแผนการเข้าหรือออกจากตลาดให้มีส่วนแบ่งระหว่างราคาเป้าหมาย (รางวัลที่คาดหวัง) และระดับการหักล้างที่คุณกำหนดไว้ (ขีดจำกัดขาดทุน)
วิธีวิเคราะห์ break out forex
การวิเคราะห์ “breakout” ในตลาด Forex เป็นกระบวนการที่เน้นการตรวจสอบแนวรับแนวต้านและการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเกิดการขาดทุนในระดับราคาที่สำคัญ นี่คือขั้นตอนเบื้องต้นในการวิเคราะห์ “breakout” ใน Forex:
- ระบุแนวรับแนวต้าน: เริ่มต้นด้วยการระบุแนวรับแนวต้านที่สำคัญในแผนภูมิราคา (กราฟ) ใช้เครื่องมือเช่น เส้นเทรนด์, เส้นระดับโซนสนับสนุนและความต้านทาน เพื่อระบุระดับราคาที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคา
- ตรวจสอบการเคลื่อนไหว: ดูว่าราคาเงินตราหรือคู่สินทรัพย์ที่คุณสนใจมีการเคลื่อนไหวเหนือหรือต่ำกว่าระดับราคาที่ระบุในขั้นที่ 1 ถ้าราคาเกิดการขึ้นหรือลงลึกเกินระดับราคาที่ระบุ จะเป็นสัญญาณของ “breakout”
- การตรวจสอบตัวชี้วัดเทคนิค: ใช้ตัวชี้วัดเทคนิคเพื่อรับรู้ความเข้มแข็งของการ “breakout” ตัวชี้วัดอาจเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยบอกถึงความเร็วและความเข้มข้นของการเคลื่อนไหว เช่น อินดิเคเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์เทรนด์ (Trend Indicators) และตัวชี้วัดที่บอกถึงการเคลื่อนไหวแบบเต็มที่ (Momentum Indicators)
- ตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจ: ควรเสมอตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อดูว่ามีข่าวสารหรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลกระทบต่อคู่สินทรัพย์ที่คุณกำลังวิเคราะห์ ข่าวเศรษฐกิจสามารถก่อให้เกิด “breakout” ได้
- การเปรียบเทียบกับเทรนด์ราคา: เป็นกระบวนการที่นักเทรดใช้เพื่อตรวจสอบว่าราคาของคู่สินทรัพย์หรือเงินตรากำลังเคลื่อนที่ในแนวโน้มของเทรนด์เดิมหรือไม่ นักเทรดใช้การเปรียบเทียบเพื่อดูความสอดคล้องของการเคลื่อนไหวปัจจุบันกับเทรนด์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างที่ราคาขายด้านล่างของแนวต้านและข้างบนของแนวรับ พิจารณาว่าราคากำลังเคลื่อนที่ระหว่าง “เทรนด์” หรือเข้าสู่ “เทรนด์ใหม่”
- ตรวจสอบระดับเบรคเอเวอเรจ (Fibonacci Retracement): ระดับเบรคเอเวอร์เรชัน (Fibonacci Retracement) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคาเพื่อระบุระดับราคาที่เป็นจุดสนับสนุนและความต้านทาน โดยใช้รายการสัดส่วนของเลขฟิโบนัชชี (Fibonacci numbers) เพื่อช่วยระบุระดับที่ราคาสามารถถอดย้ำหรือย้อนกลับได้ การใช้ระดับเบรคเอเวอร์เรจตามระดับราคาสำคัญ เช่น 38.2%, 50%, 61.8% สามารถช่วยหาจุดเข้าหรือออกจากตลาดได้
- การเข้าใจแผนการซื้อขาย: การเข้าใจแผนการซื้อขายหมายถึงการรู้เรื่องและเข้าใจลักษณะการดำเนินงานของแผนการซื้อขายที่คุณกำลังใช้ในตลาดการเงิน มันเปรียบเสมือนแผนทางที่ชัดเจนสำหรับการซื้อขายที่มีเป้าหมายและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจในการเข้าหรือออกจากตลาด ควรมีแผนการซื้อขายที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนดเป้าหมายกำไรและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม