ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) คืออะไร มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างวิธีคิด แต่ละรายการ

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) คืออะไร

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานประจำวันของธุรกิจหรือองค์กรและไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้าหรือบริการที่บริษัทผลิตหรือให้บริการ. ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเป็นส่วนสำคัญของงบกำไรขาดทุนขององค์กรและมีผลต่อกำไรสุทธิและความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ค่าใช้จ่ายดำเนินงานมีลักษณะหลายประเภทและรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานประจำวันของธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน, ค่าเช่าที่, ค่าน้ำ ค่าไฟ, ค่าโทรศัพท์, ค่าเช่าคลังสินค้า, ค่าโฆษณาและการตลาด, ค่าขนส่งสินค้า, ค่าอุปกรณ์สำนักงาน, ค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานทั่วไป, และอื่นๆ

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) คืออะไร
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) คืออะไร

ค่าใช้จ่ายดำเนินงานมีผลต่อกำไรของธุรกิจโดยตรง เนื่องจากเพิ่มค่าใช้จ่ายดำเนินงานอาจทำให้กำไรสุทธิลดลง ดังนั้นการควบคุมและจัดการค่าใช้จ่ายดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการอย่างยั่งยืนและทำกำไรได้ในระยะยาว โดยค่าใช้จ่ายดำเนินงานสามารถแบ่งเป็นสองประเภทหลักได้ดังนี้:

  1. Selling Expenses (ค่าใช้จ่ายในการขาย): เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการการขายสินค้าหรือบริการของบริษัท. ตัวอย่างเช่นค่าคอมมิชชันที่จ่ายให้พนักงานขาย, ค่าโฆษณาและการตลาด, ค่าขนส่งสินค้า, ค่าโทรศัพท์หรือค่าเช่าคลังสินค้า เป็นต้น.
  2. General and Administrative Expenses (ค่าใช้จ่ายในการบริหาร): เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานทั่วไปของบริษัท. ตัวอย่างเช่นค่าเช่าที่, ค่าน้ำ ค่าไฟ, ค่าเอกสาร, ค่าจ้างพนักงานในฝ่ายบริหาร, เป็นต้น.

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน มีอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) ประกอบด้วยหลายประเภทที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อดำเนินกิจการประจำวัน โดยไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการผลิตหรือให้บริการหลักที่จะตัดส่วนออกเป็นต้นทุนสินค้าหรือบริการ. ต่อไปนี้คือตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่พบบ่อย

ค่าเดินรถไปทำงาน

ค่าเดินรถไปทำงาน (Commute Expenses) คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องการเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานหรือกลับมาจากทำงานกลับบ้านทุกวันหรือในระยะเวลาที่ประจำ เพื่อการเข้าทำงานหรือการทำงานประจำ.ค่าเดินรถไปทำงานสามารถรวมถึง:

    • ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง: ค่าใช้จ่ายสำหรับการเติมน้ำมันหรือเชื้อเพลิงให้กับรถยนต์.
    • ค่าจอดรถ: หากต้องจอดรถในสถานที่จอดรถเสียเงิน.
    • ค่าบำรุงรักษารถ: ค่าใช้จ่ายสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์ เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, การซ่อมแซม, การรักษาความปลอดภัยของรถ เป็นต้น.
    • ค่าน้ำกับค่าไฟ (หากเกี่ยวข้องกับการเติมน้ำมันหรือชาร์จรถไฟฟ้า): ค่าน้ำหรือค่าไฟที่ใช้เมื่อทำงานที่บ้านเป็นบ้านที่ใช้สำหรับการทำงานระยะไกล.
    • ค่าที่จ่ายสำหรับสายรถไฟหรือระบบขนส่งสาธารณะ: หากคุณใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพื่อเดินทางไปที่ทำงาน ค่าใช้จ่ายในการเติมบัตรรถไฟหรือค่าโดยสารสาธารณะจะเป็นส่วนหนึ่งของค่าเดินรถไปทำงาน.
    • ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระยะทาง: ค่าใช้จ่ายสำหรับการบำรุงรักษาถนนหรือทางเท้าที่คุณใช้ในการเดินทาง.

ค่าเช่าสำนักงานหรือที่จัดเก็บ

ค่าเช่าสำนักงานหรือที่จัดเก็บ (Office Rent or Storage Rent) เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อเช่าพื้นที่สำนักงานหรือพื้นที่เก็บสินค้าหรือวัตถุของต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมของธุรกิจ. ค่าเช่านี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและรวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพย์สิน.ค่าเช่าสำนักงานมักถูกนำมาใช้สำหรับการทำงานของพนักงานที่ทำงานในสำนักงานหรือสำหรับการจัดเก็บเอกสารและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท. สำนักงานที่เช่าอาจมีขนาดและลักษณะที่แตกต่างกันตามความต้องการของธุรกิจ เช่น สำนักงานขนาดเล็ก, สำนักงานใหญ่, หรือสถานที่เก็บสินค้า

ค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพย์สิน

ค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพย์สิน (Property Management Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลและบริหารสินทรัพย์สินทางกายภายในองค์กร ซึ่งสามารถรวมถึงหลายประเภทตามลักษณะของทรัพย์สินและการจัดการที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพย์สินที่อาจประกอบด้วยได้แก่:

    • ค่าใช้จ่ายในการรับรองความปลอดภัย: ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบรักษาความปลอดภัยเช่น ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV), ระบบเข้าออกแบบัตร, ระบบเฝ้าระวัง, และระบบประตูอัตโนมัติ.
    • ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สิน: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาความสะอาด, การซ่อมแซม, การบำรุงรักษาทรัพย์สินเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างปกติ.
    • ค่าใช้จ่ายในการจัดการผู้เช่า: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดการผู้เช่าหรือผู้เซ้นท์ทรัพย์สิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการเก็บค่าเช่า, การดำเนินการต่างๆ ตามสัญญาเช่า, และการรับและบริหารร้องเรียนจากผู้เช่า.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานการเงิน: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดการการเงินของทรัพย์สิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าเช่า, ค่าใช้จ่ายในการจัดการบัญชี, และค่าใช้จ่ายในการจัดทำรายงานการเงิน.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารสิ่งของทางกายภายในองค์กร: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดการสิ่งของทางกายภายในสถานที่ทำงาน เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและจัดเรียงวัสดุหรือคลังสินค้า, ค่าใช้จ่ายในการจัดการคลังสินค้า, และค่าใช้จ่ายในการรับรองความปลอดภัยของสิ่งของ.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารสิ่งแวดล้อม: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมของทรัพย์สิน เพื่อป้องกันความเสียหายและประหยัดพลังงาน.

ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไป

ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไป (General and Administrative Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานและกิจกรรมทั่วไปขององค์กรหรือธุรกิจ ซึ่งไม่ตรงกับค่าใช้จ่ายในการขายสินค้าหรือบริการ แต่เป็นส่วนที่จำเป็นในการรันธุรกิจประจำวัน ค่าใช้จ่ายนี้มักถูกแสดงในงบกำไรขาดทุนของบริษัทและมีบทบาทสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่ายทั้งหมดขององค์กร. ต่อไปนี้คือตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไป:

    • ค่าใช้จ่ายในการจัดการบุคคล: เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขาย, เช่น พนักงานในฝ่ายบริหารทั่วไป, ฝ่ายบัญชี, และการจัดการทรัพยากรมนุษย์.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ: ค่าบริการระบบคอมพิวเตอร์, ซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์, การบำรุงรักษาระบบ, และค่าใช้จ่ายในการรักษาความปลอดภัยข้อมูล.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพย์สิน: ค่าใช้จ่ายในการดูแลและซ่อมแซมทรัพย์สินทางกายของบริษัท, เช่น เครื่องจักร, อุปกรณ์, และโรงงาน.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารการเงิน: ค่าธรรมเนียมธนาคาร, ดอกเบี้ย, ค่าใช้จ่ายในการบริหารบัญชีและการเงิน, และค่าใช้จ่ายในการจัดการการเงินและลงทุน.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารการประสานงาน: ค่าใช้จ่ายในการประสานงานระหว่างฝ่ายต่างๆ ในองค์กร เช่น การประชุม, การสื่อสารภายใน, และการจัดการโครงการ.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารความเสี่ยง: ค่าใช้จ่ายในการจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจ, เช่น การจัดการประกันภัยธุรกิจ.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารกฎหมายและความปลอดภัย: ค่าใช้จ่ายในการรักษาความปลอดภัยในสถานที่ทำงานและค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย.
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารการสื่อสาร: ค่าใช้จ่ายในการรับรองความสามารถในการสื่อสาร, การสนับสนุนเทคโนโลยีสื่อสาร, และค่าใช้จ่ายในการรักษาพื้นที่สื่อสาร.

ค่าใช้จ่ายในการตลาดและโฆษณา

ค่าใช้จ่ายในการตลาดและโฆษณา (Marketing and Advertising Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทจ่ายเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าหรือบริการของพวกเขาและสร้างความรู้สึกต่อผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการดังกล่าว นี่คือตัวอย่างบางประเภทของค่าใช้จ่ายในการตลาดและโฆษณา:

    • ค่าโฆษณา: ค่าใช้จ่ายในการสร้างโฆษณาเพื่อแสดงสินค้าหรือบริการของบริษัทให้กับผู้บริโภค รวมถึงค่าออกแบบโฆษณา, การพิมพ์โปสเตอร์, การรับบริการโฆษณาจากสื่อมวลชน, การสร้างโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต, และการผลิตโฆษณาทางโทรทัศน์หรือวิดีโอโฆษณา.
    • การตลาดออนไลน์: ค่าใช้จ่ายในการตลาดผ่านอินเทอร์เน็ต รวมถึงการทำ SEO (Search Engine Optimization), การจ้างโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Ads, การจัดการสื่อสังคมออนไลน์, การสร้างและบริหารเว็บไซต์, การจัดทำเนื้อหาออนไลน์, และการใช้พื้นที่โฆษณาในสื่อออนไลน์อื่น ๆ.
    • ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย: รวมถึงโปรโมชั่นและส่วนลดสินค้าหรือบริการ, การจัดงานโปรโมชั่น, การสนับสนุนการขายผ่านการจ้างพนักงานขาย, โปรโมชั่นทางโทรศัพท์, การแจกของแถม, และโปรโมชั่นทางออนไลน์.
    • ค่าใช้จ่ายในการวิจัยตลาด: ค่าใช้จ่ายในการวิจัยเกี่ยวกับตลาดและผู้บริโภค เพื่อทราบว่าควรสร้างสินค้าหรือบริการอย่างไรให้ตอบสนองความต้องการของตลาด.
    • ค่าใช้จ่ายในการจัดงานโปรโมชั่น: รวมถึงค่าเช่าสถานที่, การจัดอีเวนท์โปรโมชั่น, การสร้างบูธหรือพื้นที่แสดงสินค้า, การจัดโปรโมชั่นในงานแสดงสินค้า, และค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า.
    • ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์: ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและทดสอบสินค้าหรือบริการใหม่, การทำวิจัยตลาดเพื่อให้ทราบว่าผลิตภัณฑ์มีโอกาสประสบความสำเร็จ, และการสร้างโครงการที่เกี่ยวข้องกับการตลาด.
    • ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนแบรนด์: ค่าใช้จ่ายในการสร้างและบริหารบริการแบรนด์, รวมถึงการออกแบบโลโก้, การจัดกิจกรรมที่เน้นการสร้างความรู้สึกและความเชื่อมั่นในแบรนด์.
    • ค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ผลการตลาด: ค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ผลการตลาดและโครงการโฆษณาเพื่อปรับปรุงกิจกรรมตลาดในอนาคต.

ค่าใช้จ่ายในการบริหารกฎหมายและความปลอดภัย

ค่าใช้จ่ายในการบริหารกฎหมายและความปลอดภัยเป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องรวมในรายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของตน เพื่อให้แน่ใจว่ากิจการของตนปฏิบัติตามกฎหมายและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม ดังนี้:

    • ค่าใช้จ่ายในการรักษาความปลอดภัยที่สถานที่ทำงาน: รวมถึงการจ้างเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย, การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยี เช่น ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV), ระบบเข้าถึงและควบคุม, ระบบตรวจจับเข้าสู่พื้นที่ที่จำกัด, และการจัดอบรมความปลอดภัยให้แก่พนักงาน.
    • ค่าใช้จ่ายในการรับรองความปลอดภัย: รวมถึงการชำระค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายในการรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานหรือองค์กรที่เชี่ยวชาญ และค่าใช้จ่ายในการทำการประเมินความปลอดภัยเพื่อรับรองว่าตัวบริษัทปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด.
    • ค่าใช้จ่ายในการเป็นผู้รับรองความปลอดภัย: หากบริษัทต้องการรับรองความปลอดภัยตามมาตรฐานหรือมีความจำเป็นต้องรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานหรือองค์กรที่เชี่ยวชาญ ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกระบวนการนี้.
    • ค่าใช้จ่ายในการจัดการกฎหมาย: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการปรึกษาทนายความหรือสำนักงานที่ปรึกษาทางกฎหมายเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายและการจัดการคดีทางกฎหมาย (ถ้ามี).
    • ค่าใช้จ่ายในการบริหารความเสี่ยงทางกฎหมาย: การบริหารความเสี่ยงทางกฎหมาย เช่น การจัดทำเอกสารทางกฎหมาย, การบริหารจัดการคดีทางกฎหมาย, และการจัดทำนโยบายและข้อกำหนดทางกฎหมาย.
    • ค่าใช้จ่ายในการประกันภัย: รวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อคุ้มครองตนเองและลูกค้าในกรณีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ประกันภัยประจำการบริหารความเสี่ยง.

การจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

การจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเป็นส่วนสำคัญของการบริหารธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและมีกำไรได้. ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและแนวทางสำหรับการจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน:

  1. วางแผนและกำหนดงบประมาณ: ก่อนที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเกิดขึ้น คุณควรวางแผนและกำหนดงบประมาณสำหรับแต่ละรายการค่าใช้จ่าย. การวางแผนและกำหนดงบประมาณจะช่วยให้คุณมีความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาและปลายทางของเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงาน.
  2. ติดตามและบันทึกค่าใช้จ่าย: คุณควรมีระบบที่ชัดเจนในการติดตามและบันทึกค่าใช้จ่ายทุกประเภท. การใช้ระบบบัญชีหรือซอฟต์แวร์บัญชีช่วยให้คุณสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
  3. การวิเคราะห์และรีวิว: ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานควรถูกวิเคราะห์และรีวิวเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบว่าคุณกำลังใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม. หากพบว่ามีรายการค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือที่สามารถปรับปรุงได้ คุณสามารถดำเนินการแก้ไขให้เหมาะสม.
  4. การควบคุมค่าใช้จ่าย: คุณควรใช้วิธีการควบคุมเพื่อรักษาค่าใช้จ่ายในระดับที่เหมาะสม. มีหลายวิธีในการควบคุมค่าใช้จ่าย เช่น การสั่งเซ็นต์อนุมัติก่อนจ่าย, การจัดสรรงบประมาณตามลำดับความสำคัญ, หรือการเลือกใช้ผู้จัดจ้างที่มีราคาเหมาะสม.
  5. การพัฒนาการปรับปรุง: ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่ควรถูกมองเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถควบคุมได้. คุณควรใช้ข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงกระบวนการธุรกิจและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว.
  6. การใช้เทคโนโลยี: การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์บัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ. นอกจากนี้ยังช่วยในการรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ.
  7. การควบคุมการเติบโต: หากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณอาจต้องพิจารณาการควบคุมการเติบโตเพื่อรักษาค่าใช้จ่ายในระดับที่สมควร อาจมีการกำหนดขีดจำกัดในการขยายธุรกิจหรือการลงทุนใหม่โดยอาศัยความสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายและรายได้.
  8. การใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัด: การใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในหลายด้าน เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิต, การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, หรือการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินรถหรือการเดินทาง.
  9. การควบคุมค่าใช้จ่ายในภาคผนวก: นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลัก คุณควรระวังค่าใช้จ่ายในภาคผนวกที่อาจเพิ่มขึ้นได้ เช่น ค่าน้ำและค่าไฟที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ธุรกิจขยายตัว ค่าใช้จ่ายในโครงการพิเศษ หรือค่าใช้จ่ายสำหรับการรับมิตรภาพ.
  10. การปรับการจัดการค่าใช้จ่ายตามเปลี่ยนแปลงในตลาด: ตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจหรือสภาวะทางธุรกิจ คุณควรทำการปรับการจัดการค่าใช้จ่ายเพื่อสอดคล้องกับเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้าและตลาด.