ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการมีอะไรบ้าง สูตรคำนวณ ตามมาตรฐานบัญชี อธิบายยกตัวอย่าง และสรุป

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ คืออะไร

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (Selling and Administrative Expenses) คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติของกิจการและเป็นส่วนหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดของบริษัทหรือธุรกิจเพื่อส่งเสริมและรองรับการขายสินค้าหรือบริการ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการมักถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการมีอะไรบ้าง สูตรคำนวณตามมาตรฐานบัญชี
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการมีอะไรบ้าง สูตรคำนวณตามมาตรฐานบัญชี

ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses)

ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาและการส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการ เช่น ค่าโฆษณาบนสื่อต่างๆ (โทรทัศน์, วิทยุ, อินเทอร์เน็ต, โซเชียลมีเดีย), ค่าคอมมิชันสำหรับพนักงานขาย, ค่าเบี้ยประกันสำหรับความรับรู้เกี่ยวกับการขาย, ค่าใช้จ่ายในการจัดโปรโมชัน, ค่าใช้จ่ายในการจัดงานเสวนาหรือโปรโมชั่นสินค้า เป็นต้น.

ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses)

ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจการทั่วไป เช่น ค่าเช่าสำนักงาน, เงินเดือนและค่าแรงของพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขาย, ค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพยากรบุคคล, ค่าใช้จ่ายในการจัดการทรัพยากรทางการเงิน, ค่านายหน้าสำหรับบริการที่เกี่ยวกับกิจการ, ค่าใช้จ่ายในการบริหารเอกสารและระบบสารสนเทศ, ค่าใช้จ่ายในการรักษาและบำรุงรักษาสำนักงานและอาคาร, ค่าใช้จ่ายในการจัดทำรายงานและสถิติ, ค่าใช้จ่ายในการประชุมและการสื่อสารภายในบริษัท เป็นต้น.

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากมีผลต่อการสร้างยอดขายและการบริหารจัดการทั่วไปของบริษัท การวิเคราะห์และควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการทำกำไรและเติบโต

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ มีอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (Selling and Administrative Expenses) คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติของกิจการและเป็นส่วนหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดของบริษัทหรือธุรกิจเพื่อส่งเสริมและรองรับการขายสินค้าหรือบริการ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการมักถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ

  1. ค่าโฆษณาค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเป็นการสร้างความรู้สึกและสร้างความตั้งใจให้กับลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของบริษัท รูปแบบของค่าใช้จ่ายนี้อาจแตกต่างไปตามสื่อที่ใช้ เช่น โฆษณาทางโทรทัศน์, โฆษณาออนไลน์, หรือโฆษณาในสื่อพิมพ์ การลงทุนในการโฆษณาส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความรู้สึกต่อแบรนด์.
  2. ค่าคอมมิชันของพนักงานขาย รายการนี้เป็นการจ่ายเงินให้กับพนักงานขายเป็นส่วนตัวหรือตัวแทนขาย เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในการขายสินค้าหรือบริการ ค่าคอมมิชันมักถูกคำนวณเป็นร้อยละของมูลค่าของการขาย และมีไว้เพื่อส่วนแบ่งความสำเร็จกับพนักงานขาย.
  3. ค่าเสื่อมราคา รายการนี้คือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลดมูลค่าของทรัพย์สินและอุปกรณ์ที่ใช้ในการขายและบริการ ค่าเสื่อมราคานี้ถูกนำมาคำนวณเพื่อส่วนลดมูลค่าของทรัพย์สินในบัญชีและส่งผลต่อกำไรสุทธิของบริษัท.
  4. ค่านายหน้าของพนักงานขาย  บางบริษัทมีนายหน้าหรือตัวแทนขายที่ทำงานแบบอิสระและไม่ได้รับค่าเงินเดือน แทนที่จะได้รับค่าคอมมิชันตามยอดขายที่สำเร็จ รายการนี้คือค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับนายหน้าขายเหล่านี้.
  5. ค่าน้ำมันของพนักงาน บริษัทที่ต้องการพนักงานเดินทางเพื่อทำงานอาจจะจ่ายค่าน้ำมันหรือเชื้อเพลิงเพื่อให้พนักงานเดินทางไปยังสถานที่ทำงานหรือไปพบลูกค้า.
  6. ค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทาง  บางพนักงานอาจจะใช้รถพาหนะส่วนตัวในการทำงาน บริษัทอาจจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงให้พนักงานนำรถไปใช้ในการทำงานหรือเดินทางในเวลาทำงาน.
  7. ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา (Utilities): รายการค่าใช้จ่ายนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาสำหรับสถานที่ทำงานของบริษัท.
  8. ค่าโทรศัพท์ (Telephone Expenses): ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการโทรศัพท์สำหรับการติดต่อทางธุรกิจ รวมถึงค่าใช้จ่ายในโทรสารและโทรศัพท์มือถือ.
  9. ค่าเบี้ยประกัน (Insurance Premiums): ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเบี้ยประกันที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เกิดจากกิจการการขายและบริการ.
  10. ค่าสวัสดิการ (Employee Benefits): รายการนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการให้สวัสดิการแก่พนักงานที่ทำงานในส่วนของการขายและบริการ เช่น บริการเพิ่มเติมสำหรับสุขภาพ, บริการจ่ายเงินบำนาญ, และการตั้งเงื่อนไขการลาพักร้อน.
  11. ค่านายหน้าสำหรับบริการที่เกี่ยวกับกิจการ (Consulting Fees): ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เพื่อให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในการจัดการธุรกิจและการตลาด.
  12. ค่าใช้จ่ายในการจัดทำรายงานและสถิติ (Reporting and Statistics Costs): ค่าใช้จ่ายในการจัดทำรายงานและสถิติที่เกี่ยวข้องกับการขายและบริการ เพื่อให้บริษัทมีข้อมูลและข้อมูลการวิเคราะห์สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ.
  13. ค่าภาษี (Taxes): ค่าใช้จ่ายในการจ่ายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายและบริการ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง.
  14. ค่าเช่าสถานที่ (Rent Expenses): ค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าเช่าสำหรับสถานที่ทำงานของบริษัท เช่น ออฟฟิศหรือโกดัง.
  15. ค่าใช้จ่ายในการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Costs): ค่าใช้จ่ายในการจัดการทรัพยากรบุคคล เช่น การจ้างงาน, การฝึกอบรม, และการจัดทำข้อมูลพนักงาน.
  16. ค่าใช้จ่ายในการรักษาและบำรุงรักษา (Maintenance and Repairs): ค่าใช้จ่ายในการรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ในการขายและบริการ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา.
  17. ค่าใช้จ่ายในการประชุมและสื่อสารภายในบริษัท (Internal Communication and Meetings): ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมภายในบริษัทและการสื่อสารภายใน เพื่อการความร่วมมือและการสร้างสัมพันธ์ในองค์กร.

สูตรคำนวณ ตามมาตรฐานบัญชี

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ สามารถคำนวณได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้:

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ = ค่าใช้จ่ายในการขาย + ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 

โดยที่:

  1. ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses) คำนวณได้โดยรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายและส่งเสริมการขาย อาทิเช่น ค่าโฆษณา, ค่าคอมมิชันของพนักงานขาย, ค่าโทรศัพท์, ค่านายหน้าของพนักงานขาย, ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขาย, และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างยอดขาย.
  2. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses) คำนวณได้โดยรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจและการบริหารทรัพยากรบุคคล อาทิเช่น ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ในการบริหาร, ค่าจ้างที่ปรึกษา, ค่าจ้างบุคลากรภายนอก, ค่าประกัน, ค่าสวัสดิการของพนักงาน, ค่านายหน้าสำหรับบริการที่เกี่ยวกับกิจการ, และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร.

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการมีบทบาทสำคัญในการคำนวณกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) และมีผลต่อผลกำไรสุทธิของบริษัท การตรวจสอบและการจัดการค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้บริษัทสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีกำไรและยังมีหลายสูตรที่ใช้ในบัญชีเพื่อคำนวณค่าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินและบัญชี ต่อไปนี้คือสูตรคำนวณสำคัญในบัญชีดังนี้

  1. กำไรสุทธิ (Net Profit): สูตร: กำไรสุทธิ = รายรับสุทธิ – รายจ่ายสุทธิ สูตรนี้ใช้ในการคำนวณกำไรที่บริษัทได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดออก.
  2. มูลค่าสินทรัพย์รวม (Total Assets): สูตร: มูลค่าสินทรัพย์รวม = สินทรัพย์รวมที่เป็นรายการที่เราครอบครองในปัจจุบัน
  3. หนี้สูญ (Bad Debt Expense): สูตร: หนี้สูญ = ยอดหนี้คงค้าง * อัตราการสูญเสียที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
  4. อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin): สูตร: อัตรากำไรขั้นต้น = (รายรับสุทธิ – ค่าใช้จ่ายในการผลิต) / รายรับสุทธิ สูตรนี้ใช้ในการวัดกำไรที่เกิดขึ้นจากการขายสินค้าหรือบริการก่อนหักค่าใช้จ่ายในการผลิต.
  5. อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin): สูตร: อัตรากำไรสุทธิ = กำไรสุทธิ / รายรับสุทธิ สูตรนี้ใช้ในการวัดกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นเมื่อคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมด.
  6. อัตราการหมุนเงินทุน (Inventory Turnover Ratio): สูตร: อัตราการหมุนเงินทุน = รายรับจากการขาย / ค่าสินค้าคงคลังเฉลี่ย สูตรนี้ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าคงคลัง.

ตัวอย่าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ

ตัวอย่างการคำนวณ 1

ตัวอย่างการคำนวณค่าใช้จ่ายในการขายและบริการโดยใช้ข้อมูลสำหรับบริษัท ABC Corporation:

    1. ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses):
      • ค่าโฆษณา: 50,000 บาท
      • ค่าคอมมิชันของพนักงานขาย: 80,000 บาท
      • ค่าโทรศัพท์: 10,000 บาท
      • ค่านายหน้าของพนักงานขาย: 30,000 บาท
      • ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ขาย: 20,000 บาท

      ค่าใช้จ่ายในการขาย = 50,000 + 80,000 + 10,000 + 30,000 + 20,000 = 190,000 บาท

    2. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses):
      • ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ในการบริหาร: 15,000 บาท
      • ค่าจ้างที่ปรึกษา: 25,000 บาท
      • ค่าจ้างบุคลากรภายนอก (Outsourcing): 12,000 บาท
      • ค่าประกัน: 8,000 บาท
      • ค่าสวัสดิการของพนักงาน: 45,000 บาท

      ค่าใช้จ่ายในการบริหาร = 15,000 + 25,000 + 12,000 + 8,000 + 45,000 = 105,000 บาท

    3. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (Selling and Administrative Expenses):
      • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ = ค่าใช้จ่ายในการขาย + ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
      • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ = 190,000 + 105,000 = 295,000 บาท

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการสำหรับบริษัท ABC Corporation ในรอบที่กำหนดคือ 295,000 บาท โดยใช้ข้อมูลนี้เราสามารถนำไปคำนวณกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) โดยลบค่าใช้จ่ายในการขายและบริการออกจากกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ของบริษัทเพื่อหากำไรสุทธิของบริษัท

ตัวอย่างการคำนวณ 2

ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและขายผลิตภัณฑ์เสมือน ๆ ในบริษัท XYZ Manufacturing Co.:

    1. ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses):
      • ค่าโฆษณา: 30,000 บาท
      • ค่าคอมมิชันของพนักงานขาย: 60,000 บาท
      • ค่าโทรศัพท์: 5,000 บาท
      • ค่านายหน้าของพนักงานขาย: 25,000 บาท
      • ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ขาย: 15,000 บาท

      ค่าใช้จ่ายในการขาย = 30,000 + 60,000 + 5,000 + 25,000 + 15,000 = 135,000 บาท

    2. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses):
      • ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ในการบริหาร: 10,000 บาท
      • ค่าจ้างที่ปรึกษา: 20,000 บาท
      • ค่าจ้างบุคลากรภายนอก (Outsourcing): 8,000 บาท
      • ค่าประกัน: 6,000 บาท
      • ค่าสวัสดิการของพนักงาน: 35,000 บาท

      ค่าใช้จ่ายในการบริหาร = 10,000 + 20,000 + 8,000 + 6,000 + 35,000 = 79,000 บาท

    3. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (Selling and Administrative Expenses):
      • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ = ค่าใช้จ่ายในการขาย + ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
      • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ = 135,000 + 79,000 = 214,000 บาท

ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการขายและบริการสำหรับบริษัท XYZ Manufacturing Co. ในรอบที่กำหนดคือ 214,000 บาท. การคำนวณค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ผลกำไรและการดำเนินงานของบริษัท