dow theory คืออะไร ทฤษฎีดาว 6 ข้อ เจาะลึกทฤษฎี หนังสือแนะนำ

dow theory คืออะไร

Dow Theory เป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์และพยากรณ์เครื่องดัชนีตลาดหลักอย่างเช่น Dow Jones Industrial Average (DJIA) โดยใช้กราฟและสถิติต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดหุ้น หลักการนี้ถูกพัฒนาโดย Charles H. Dow ซึ่งเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มราคาโดยใช้กราฟและปริมาณการซื้อขายเพื่อทำนายแนวโน้มของตลาด หลักการ Dow Theory มีหลักคิดหลัก 4 ข้อสำคัญคือ (1) ตลาดสะท้อนทุกสิ่ง, (2) ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม, (3) ตลาดมีแนวโน้มหลัก 3 แบบ, และ (4) ปริมาณการซื้อขายยืนยันแนวโน้ม

ลาด Forex เป็นตลาดที่ซื้อขายเงินตราระหว่างประเทศที่มีการเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ การเคลื่อนไหวในตลาด Forex มีปัจจัยหลายประเภทที่มีผลต่อราคาเงินตรา ไม่ได้เพียงแค่ปริมาณการซื้อขาย (Volume) และแนวโน้มราคา ดังที่ Dow Theory ใช้ในตลาดหลัก ดังนั้นการนำหลักการ Dow Theory มาใช้ในการวิเคราะห์ Forex อาจจะต้องพิจารณาปัจจัยและเทคนิคการวิเคราะห์เพิ่มเติมที่เหมาะสมกับลักษณะของตลาดเงินตราและปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด

ทฤษฎีดาว 6 ข้อ

The Market Discounts Everything

“ตลาดสะท้อนทุกสิ่ง” (The Market Discounts Everything) เป็นหลักการที่เกี่ยวข้องกับ Dow Theory ที่เชื่อว่าราคาของหลักทรัพย์ในตลาดได้รวมรวมข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อราคาเริ่มต้นและการเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ไปแล้ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราคาของหลักทรัพย์ในปัจจุบันถูกกำหนดโดยข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารปัจจัยเศรษฐกิจ ข้อมูลการเงินการค้า การเมือง และปัจจัยอื่น ๆ

โดยในแง่ “ตลาด” จะถูกมองเป็นเป็นกลุ่มผู้ลงทุนทั้งหมดที่มีข้อมูลและข่าวสารทั้งหมดอยู่และสะท้อนผลในราคา หลักการนี้เป็นฐานการเข้าใจว่าเหตุการณ์และข้อมูลที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในราคาของหลักทรัพย์ได้ถูกสรุปและบังคับใช้ในตลาดแล้ว ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาข้อมูลที่มีอยู่ในตลาดเพื่อที่จะทำการตัดสินใจในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการพยากรณ์ข้อความที่อาจไม่ได้สะท้อนสภาวะจริงในตลาด

Prices Move in Trends

หลักการ “Prices Move in Trends” หรือ “ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม” เป็นหลักการที่สำคัญใน Dow Theory ซึ่งแสดงถึงความเชื่อว่าราคาของหลักทรัพย์จะมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไปตามแนวขึ้นหรือแนวลง และการเคลื่อนไหวนี้จะไม่เป็นแบบสุ่ม แต่จะมีลักษณะเรียงต่อเนื่องอย่างน้อย 3 แนวโน้ม ดังนี้

    1. Primary Trend (แนวโน้มหลัก): เป็นแนวโน้มยาวนานที่ราคาของหลักทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น แนวขึ้นหรือแนวลง เป็นระยะเวลาที่ยาวนานและมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาด
    2. Secondary Trend (แนวโน้มรอง): เป็นแนวโน้มย่อยซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวขั้นหรือลงในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นส่วนของ Primary Trend โดยส่วนนี้อาจเป็นการปรับตัวหรือการแก้ไขราคาหลักทรัพย์หลังจากการเคลื่อนไหวในแนวโน้มหลัก
    3. Minor Trend (แนวโน้มเล็ก): เป็นแนวโน้มที่สั้นนัด ซึ่งเป็นส่วนของ Secondary Trend และมักเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์และข่าวสารที่มีผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้น ๆ

Market Has Three Trends

หลัก Dow Theory โดยความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากหลักการเชื่อว่าตลาดมีแนวโน้ม 3 แบบหรือ 3 แนวโน้มหลัก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาของหลักทรัพย์ นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับแนวโน้ม 3 แบบตามหลัก Dow Theory ดังนี้

    1. Primary Trend (แนวโน้มหลัก): แนวโน้มหลักเป็นแนวโน้มที่ยาวนานและสำคัญที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแนวโน้มขึ้น (Bull Market) หรือแนวโน้มลง (Bear Market) แนวโน้มหลักนี้อาจมีระยะเวลาหลายปีหรือต้นแรก และมักจะเป็นผลกระทบต่อการลงทุนในระยะยาว
    2. Secondary Trend (แนวโน้มรอง): แนวโน้มรองเป็นการเคลื่อนไหวขั้นหรือลงในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อตลาดเริ่มปรับตัวหลังจากเคลื่อนไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก แนวโน้มรองอาจเป็นการเคลื่อนไหวตรงข้ามกับแนวโน้มหลักเพื่อทำการปรับเสถียรภาพก่อนที่ตลาดจะเลื่อนต่อไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักอีกครั้ง
    3. Minor Trend (แนวโน้มเล็ก): แนวโน้มเล็กเป็นแนวโน้มที่สั้น ๆ และมักเกิดขึ้นในระยะเวลาเร็ว ๆ ต่ำกว่า 6 วัน แนวโน้มเล็กนี้อาจเกิดจากการแกว่งขึ้นหรือลงเล็กน้อยในแนวโน้มรอง และมักไม่มีผลกระทบมากนักต่อการตัดสินใจในการลงทุนในระยะยาว

Trends Have Three Phases

หลัก Dow Theory ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดเป็นสิ่งสำคัญ  ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาของหลักทรัพย์ และช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่มีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนและการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับแนวโน้ม 3 แบบตามหลัก Dow Theory

    1. Accumulation Phase (เฟสสะสม): เป็นช่วงเวลาที่ราคาของหลักทรัพย์เคลื่อนที่แนวตั้งๆ หรือเหยียบย่ำไป โดยนักลงทุนมักซื้อหลักทรัพย์ในราคาต่ำเพื่อสะสมในระยะยาว นี้อาจเป็นเวลาที่บริษัทหรือนักลงทุนที่มีความคิดเห็นดีในราคาหลักทรัพย์กำลังเพิ่มมูลค่าของตนและสะสมหลักทรัพย์เพื่อการเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคต
    2. Public Participation Phase (เฟสการเข้าร่วมของบุคคลทั่วไป): เป็นช่วงที่ราคาของหลักทรัพย์เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การบันทึกข่าวสารเชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับราคาหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มการเข้าร่วมของบุคคลทั่วไป นักลงทุนที่ไม่ได้เข้าร่วมในระยะเฟสสะสมอาจเริ่มพร้อมกับการเข้าร่วมในเฟสนี้
    3. Distribution Phase (เฟสการแจกจ่าย): เป็นช่วงที่ราคาของหลักทรัพย์เริ่มลดลงหรือคงที่ นักลงทุนที่สะสมหลักทรัพย์ในระยะเฟสสะสมอาจเริ่มขายหลักทรัพย์ของพวกเขาเพื่อแก้ไขกำไร นักลงทุนที่เข้าร่วมในระยะเฟสการเข้าร่วมอาจพิจารณาเข้าร่วมการขายหรือการแจกจ่าย

Volume Confirms the Trend

หลักการ “Volume Confirms the Trend” ใน Dow Theory หมายถึงการใช้ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อยืนยันแนวโน้มของราคาในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อราคาของหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่ช่วยยืนยันว่าแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้นเป็นจริงหรือไม่จริง การสังเกตปริมาณการซื้อขายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาสามารถช่วยในการตัดสินใจในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดได้ดังนี้:

    1. การสืบเนื่องในแนวโน้ม: เมื่อราคาของหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นและปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นตามมา นักลงทุนอาจพิจารณาว่าแนวโน้มขาขึ้นนั้นมีความเป็นไปได้สูง
    2. การยืนยันแนวโน้ม: เมื่อราคาของหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงและมีการเพิ่มปริมาณการซื้อขาย นักลงทุนสามารถรับรองว่าการเปลี่ยนแปลงราคานั้นมีความเป็นไปได้สูง
    3. การออกซิ่งของแนวโน้ม: เมื่อราคาของหลักทรัพย์ลดลงและมีการเพิ่มปริมาณการซื้อขาย นักลงทุนอาจมองว่าแนวโน้มขาลงเป็นไปได้

Trends Are Confirmed by Volume

หลักการ “Trends Are Confirmed by Volume” ใน Dow Theory หมายความว่าแนวโน้มของราคาในตลาดหุ้นจะได้รับการยืนยันจากปริมาณการซื้อขายในตลาด การซื้อขายที่มีปริมาณมากในระหว่างแนวโน้มจะถือเป็นสัญญาณที่ช่วยยืนยันว่าแนวโน้มนั้นมีความแข็งแกร่งและเป็นไปในทิศทางที่ราคากำลังเคลื่อนไป นักลงทุนทั่วไปมักจะเรียนรู้ว่าถ้ามีการเพิ่มปริมาณซื้อขายขึ้นในระหว่างแนวโน้มขาขึ้น แสดงถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในการสนับสนุนแนวโน้มนี้ อย่างไรก็ตาม หากปริมาณการซื้อขายลดลงระหว่างแนวโน้มขาตก อาจแสดงถึงความไม่แน่ใจและความไม่มั่นคงของตลาดแนวโน้มนั้นๆ

หลักการนี้เชื่อว่าแนวโน้มของราคาจะได้รับการยืนยันจากปริมาณการซื้อขายในตลาด (Volume) สูงขึ้นในระหว่างแนวโน้มที่เป็นทางบวกจะแสดงถึงความสนใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการซื้อขาย ในทางกลับกัน ถ้าปริมาณการซื้อขายลดลงในระหว่างแนวโน้มที่เป็นทางลบ อาจแสดงถึงความไม่แน่ใจและความไม่มั่นคงของตลาด

หนังสือแนะนำ

  1. “Technical Analysis of Stock Trends” โดย Robert D. Edwards, John Magee, W.H.C. Bassetti: หนังสือนี้ถือเป็นหนึ่งในหนังสือที่มีชื่อเสียงในวงการการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งนำเสนอหลักการทางเทคนิคและเอกลักษณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Dow Theory รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์กราฟและการใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น.
  2. “How to Make Money in Stocks” โดย William J. O’Neil: หนังสือนี้เน้นในเรื่องการลงทุนในหุ้นในแนวทางการวิเคราะห์ทางเทคนิค แม้จะไม่ได้กระทบถึง Dow Theory โดยตรง แต่มีการอธิบายหลักการของเทคนิคต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับ Dow Theory เพื่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น.
  3. “The Dow Theory” โดย Robert Rhea: หนังสือนี้เป็นเรืองวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับหลักการ Dow Theory โดยตรง ซึ่งเป็นที่มาของหลักการนี้ หากคุณต้องการเข้าใจแนวคิดและหลักการที่ Charles H. Dow พัฒนาขึ้นเป็นเบื้องหลังของ Dow Theory หนังสือนี้จะเป็นที่สองยอดนิยมหลังจากหนังสือของ Dow เอง.
  4. “The Secrets of the Dow Theory” โดย Robert Rhea: หนังสือนี้เป็นฉบับสรุปของหลักการ Dow Theory และอธิบายเนื้อหาในรูปแบบที่มีความกระชับ สำหรับคนที่ต้องการเข้าใจแนวคิดของ Dow Theory และการประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น.