Blockchain Layer-1 คืออะไร layer 2 คืออะไร เหรียญ layer 2 มีอะไรบ้าง

ความเป็นมา

ความยากในการหาสมดุลระหว่างความปลอดภัย, การกระจายอำนาจ, และความสามารถในการปรับขนาดนั้นได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ Blockchain และ Cryptocurrency ต้องเผชิญหน้า. การพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อให้สามารถรองรับธุรกรรมแบบเร็วๆ ได้หลายพันรายการต่อวินาทีนั้นเป็นทางที่หลายๆ โครงการพยายามที่จะทำ. แต่การกระจายอำนาจและความปลอดภัยก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ.

Bitcoin และ Ethereum เป็นตัวอย่างที่ดีของ Cryptocurrency ที่เน้นไปที่ความปลอดภัยและการกระจายอำนาจมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันทำให้ความสามารถในการปรับขนาดน้อยลง. ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เราเห็นการมาของ Layer 2 และทางเลือกอื่นๆ ที่พยายามแก้ปัญหานี้.

และในขณะที่บาง Cryptocurrency ที่ใหม่กว่าอาจจะเน้นไปที่ความสามารถในการปรับขนาดเพื่อรองรับธุรกรรมจำนวนมาก, การกระจายอำนาจและความปลอดภัยก็เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถละเว้นได้. Cardano, Avalanche และ Solana เป็นตัวอย่างของ Cryptocurrency Layer 1 ที่พยายามหาสมดุลระหว่างเหล่าปัจจัยเหล่านี้.

ดังนั้น, แม้ว่า Scalability Trilemma จะเป็นปัญหาที่ยากและซับซ้อน, การพัฒนาและการทดลองในวงการ Blockchain และ Cryptocurrency ยังคงดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

 

การพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังหันไปสู่การนำเสนอโซลูชันที่มีการแบ่งแยกเป็นชั้น หรือ “Layer” เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับธุรกรรมจำนวนมากๆ ในเวลาเดียวกัน โดยไม่สูญเสียความปลอดภัยหรือการกระจายอำนาจ.

Layer 1 คือ Blockchain หลักที่ทำการประมวลผลธุรกรรม แต่มีข้อจำกัดเมื่อต้องการจัดการธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน. ด้วย Scalability Trilemma, ความสามารถในการปรับขนาดเป็นสิ่งที่ Layer 1 หลายๆ ระบบบล็อกเชนต้องเผชิญหน้า.

Layer 2 เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรมแบบอิสระและทำการยืนยันกับ Layer 1 เมื่อจำเป็น ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดได้มากขึ้น.

และ Layer 3 นั้นเป็นส่วนที่เชื่อมโยงแอปพลิเคชั่นหรือ Dapp กับการทำงานของ Blockchain. การสร้างแอปพลิเคชั่นบน Layer 3 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและทำธุรกรรมบน Blockchain ได้โดยไม่ต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งในการทำงานของเทคโนโลยีใต้ๆ ทั้งหมด.

เมื่อเรามองการทำงานของบล็อกเชนในมุมมองของ “Layer”, เราสามารถเห็นวิธีการทำงานที่มีระบบและเป็นขั้นตอนได้ชัดเจนขึ้น และช่วยในการหาทางแก้ปัญหา Scalability Trilemma ที่ซับซ้อนเช่นนี้.

Blockchain Layer คืออะไร

บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกข้อมูลธุรกรรมในรูปแบบของบล็อกต่อเนื่องๆ โดยใช้การเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย และการทำงานในรูปแบบแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ไม่ต้องผ่านผู้กลาง.

เมื่อเราพูดถึง “Layer” หรือ “เลเยอร์” ในบริบทของบล็อกเชน มันหมายถึงชั้นของการประมวลผลและการทำงานต่างๆ ภายในบล็อกเชน:

Blockchain Layer 1 คืออะไร layer 2
Blockchain Layer 1 คืออะไร layer 2
  1. Layer 1 (L1): คือเครือข่ายบล็อกเชนหลัก หรือ “Base Layer” อย่างเช่น Bitcoin, Ethereum เป็นต้น ที่บันทึกธุรกรรมและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในแต่ละบล็อก โดยมีความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมแบบเบื้องต้น.
  2. Layer 2 (L2): คือโซลูชันที่ถูกสร้างเพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของ Layer 1 เช่นการลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม, เพิ่มความเร็วในการยืนยันธุรกรรม หรือการขยายขนาดของเครือข่าย ตัวอย่างของ Layer 2 คือ Lightning Network สำหรับ Bitcoin และ Rollups สำหรับ Ethereum.
  3. Layer 0 (L0): ถือว่าเป็น “Infrastructure Layer” หรือชั้นสร้างสรรค์ของสิ่งประกอบภายนอก เช่น การเชื่อมต่อเครือข่าย, การสื่อสาร, หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยให้บล็อกเชนสามารถทำงานได้.

เลเยอร์ต่างๆ นี้ช่วยในการแบ่งบทบาทและฟังก์ชันของบล็อกเชน ทำให้เราสามารถเห็นภาพรวมและเข้าใจวิธีการทำงานของบล็อกเชนได้ดียิ่งขึ้น.

1. Blockchain Layer 0 (Layer 0)

Layer 0, หรือ “Blockchain Layer 0”, คือระดับพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังของบล็อกเชนทั้งหมด และเป็นส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งเท่ากับ Layer อื่น ๆ ของบล็อกเชน ความพิเศษของ Layer 0 คือมันให้พื้นที่ในการทำงานของบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูล, การประมวลผล, หรือการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายต่างๆ

Layer 0 กำหนดความเป็นไปได้ในการปรับขนาดของบล็อกเชน เนื่องจากมันจัดการกับการเชื่อมต่อและข้อมูลที่ไหลผ่านระบบ มันเป็นส่วนที่ทำให้บล็อกเชนสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ และยังสร้างพื้นที่ในการรวมกลุ่มการทำงานของบล็อกเชนได้

สำหรับตัวอย่างของ Layer 0:

      1. Polkadot: นำเสนอโครงสร้างที่ช่วยให้บล็อกเชนต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้, โดยมีการใช้ relay chain และ parachains.
      2. Cardano: มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นที่จะสร้างบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพ, ปลอดภัย, และยั่งยืน.
      3. Avalanche: ใช้การประมวลผลแบบ DAG (Directed Acyclic Graph) แทนการใช้บล็อกเชนแบบเดิม สร้างความเร็วและประสิทธิภาพในการประมวลผล.
      4. Cosmos: มุ่งเน้นไปที่การทำให้บล็อกเชนต่างๆ สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้, โดยมี “Zones” และ “Hub” เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ.

จากนั้น, มีเทคโนโลยีต่างๆ ที่กำลังถูกพัฒนาและทดสอบอยู่ในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของ Layer 0 เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บล็อกเชนในอนาคต.

2. Blockchain Layer 1 (Layer 1)

Layer 1, หรือ “Blockchain Layer 1”, คือระดับที่ประกอบไปด้วยโปรโตคอลสำหรับการสร้างและยืนยันธุรกรรมในบล็อกเชน. มันเป็นส่วนที่เรียกว่า “base layer” หรือระดับพื้นฐานของบล็อกเชน และคือส่วนที่คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยเมื่อพูดถึงบล็อกเชน.

การทำงานของ Layer 1 จะเน้นไปที่ความปลอดภัย, การเป็นไปได้ในการประมวลผลธุรกรรม, และการรักษาความสอดคล้องของข้อมูลในเครือข่าย. ด้วยการที่มีการใช้งานบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้น, การปรับขนาดเป็นปัญหาที่มากขึ้นใน Layer 1 เนื่องจากความจำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของเครือข่าย.

ตัวอย่างของ Layer 1:

      1. Bitcoin: เป็นบล็อกเชนแรกและมาก่อน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ descentralized มีการจัดการธุรกรรมผ่านระบบ Proof of Work (PoW).
      2. Ethereum: นอกจากการทำธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลแล้ว ยังมีความสามารถในการสร้างและประมวลผล smart contracts.
      3. Binance Smart Chain (BSC): เป็นบล็อกเชนที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความเร็วและประสิทธิภาพในการประมวลผลธุรกรรม โดยใช้ระบบ Proof of Staked Authority (PoSA).
      4. Litecoin: เป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกหนึ่งที่ถูกสร้างมาจาก Bitcoin โดยมีการปรับปรุงด้านความเร็วของการยืนยันธุรกรรม.

ทุกๆ เครือข่ายที่อยู่ใน Layer 1 นั้นมีข้อดีและข้อเสียของตนเอง และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการและความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ.

3. Blockchain Layer 2 (Layer 2)

Layer 2, หรือ “Blockchain Layer 2”, คือชั้นของเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกและปรับปรุงประสิทธิภาพของการทำธุรกรรมบน Layer 1, หรือบล็อกเชนหลัก. แนวคิดหลักคือการย้ายธุรกรรมบางส่วนออกจาก Layer 1 ไปประมวลผลที่ Layer 2 และจากนั้นยืนยันกลับไปยัง Layer 1, ทำให้สามารถจัดการธุรกรรมได้เร็วขึ้นและลดค่าธรรมเนียม.

ต่อมาจะขยายความและให้ตัวอย่างเพิ่มเติม:

      1. Optimism (Optimistic Rollups): ใช้การยืนยันธุรกรรมอย่างเบื้องต้นและใช้วิธีการ “optimistic” ในการยืนยันธุรกรรม. ซึ่งหมายความว่าเฉพาะธุรกรรมที่มีการข้อแก้ไขเท่านั้นที่จะถูกตรวจสอบใน Layer 1.
      2. Arbitrum (Arbitrum Rollups): โซลูชันที่ใช้การวิเคราะห์แบบ off-chain เพื่อรวบรวมธุรกรรมและจากนั้นส่งผลยืนยันกลับไปยัง Layer 1.
      3. Polygon: เดิมเรียกว่า Matic Network, คือโซลูชันสำหรับ Ethereum ที่ให้บริการ sidechains และโซลูชัน Layer 2 อื่น ๆ เพื่อช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ.
      4. StarkNet: ใช้ zero-knowledge proofs (ZKPs) เป็นเทคนิคเพื่อตรวจสอบธุรกรรมแบบ off-chain ซึ่งช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัว.

การใช้ Layer 2 ช่วยให้บล็อกเชน Layer 1 สามารถรองรับธุรกรรมในปริมาณมากขึ้น และเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรับมือกับปัญหาการปรับขนาดของบล็อกเชน.

4. Blockchain Layer 3 (Layer 3)

Layer 3, หรือ “Application Layer”, นั้นเน้นไปที่การสร้างแอปพลิเคชั่นที่อยู่บนบล็อกเชน และออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและใช้งานได้โดยตรง. แอปพลิเคชั่นเหล่านี้เรียกว่า Dapp (Decentralized Applications) ที่มีลักษณะพิเศษคือไม่มีศูนย์กลางและไม่ได้รับการควบคุมจากผู้ประกอบการเดียว.

      1. Uniswap: เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลแบบ Decentralized หรือ DeFi (Decentralized Finance) ที่ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้ประกอบการตลาด และไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตน.
      2. Maker: นับเป็นหนึ่งในโปรเจคที่สำคัญในวงการ DeFi. Maker เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการสร้างสินเชื่อที่มีความปลอดภัยผ่านการค้ำประกันด้วยเงินดิจิทัล (DAI) ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ผูกพันกับราคาเงินสหรัฐ.

เพิ่มเติม, ต่างจาก Layer 1 และ Layer 2 ที่มุ่งเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานและประสิทธิภาพของเครือข่าย, Layer 3 ยืนยันว่าบล็อกเชนสามารถนำไปใช้ในการสร้างแอปพลิเคชั่นที่มีความประโยชน์และสามารถเข้าถึงได้จากผู้ใช้ปลายทาง. แอปพลิเคชั่นที่พัฒนาบน Layer 3 แสดงถึงการนำเอาประโยชน์ที่ได้จากเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในการแก้ปัญหาจริงและการสร้างคุณค่าแก่สังคม