Overbought คืออะไร อธิบายยกตัวอย่าง indicator บอก Overbought มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างการใช้งาน

Overbought คืออะไร

คำว่า “Overbought” ใช้ในทางการเงินและการลงทุนเพื่อแสดงถึงสถานการณ์ที่ตลาดหรือหลักทรัพย์ใด ๆ มีการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการซื้อเข้ามามากเกินไป ทำให้ราคาของหลักทรัพย์นั้นสูงขึ้นอย่างทวีคูณและอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีความเสี่ยงสูงในการเกิดการแก้ไขราคาลดลง (correction) หรือการแก้ไขลดลงของตลาดได้ในอนาคตในเวลาใกล้ชิด โดยและการรับรู้สถานการณ์ Overbought จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีความรู้และเห็นภาพรวมอย่างชัดเจน

สถานการณ์ Overbought อาจแสดงถึงความเบี่ยงเบนและความรุนแรงของตลาดซึ่งอาจไม่สามารถรักษาได้ในระยะยาว และอาจส่งสัญญาณให้ผู้ลงทุนทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาวะตลาดในเวลาใกล้ชิด นักลงทุนและนักวิเคราะห์ใช้ตัวชี้วัดเชิงเทคนิค เช่น Relative Strength Index (RSI) เพื่อประเมินระดับการซื้อขายและความเกี่ยวข้องระหว่างราคาและการเคลื่อนไหว ถ้าค่า RSI หรือตัวชี้วัดอื่น ๆ สูงเกินไป (สูงกว่า 70 เป็นต้น) อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสถานการณ์ Overbought

ตัวอย่าง Overbought indicator

สมมติว่ามีหลักทรัพย์บางตัวที่มีการเคลื่อนไหวราคาขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ และมีผู้ลงทุนซื้อเข้ามามากขึ้น ผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์อาจใช้ตัวชี้วัด Relative Strength Index (RSI) เพื่อประเมินสถานการณ์ Overbought ได้ดังนี้

  1. RSI สูงมาก: RSI หรือ Relative Strength Index เป็นตัวชี้วัดที่มักใช้ในการแสดงระดับการซื้อขายของหลักทรัพย์ โดยค่า RSI อยู่ในช่วง 0-100 โดยมูลค่าสูงกว่า 70 ถูกพิจารณาว่าหลักทรัพย์อาจเข้าสู่สถานการณ์ Overbought หรือมีการซื้อเข้ามามากเกินความเป็นจริง
  2. ราคาเพิ่มขึ้นรวดเร็ว: หลักทรัพย์มีการเพิ่มราคาอย่างรวดเร็วโดยมีการซื้อเข้ามามากเกินความต้องการ การเพิ่มราคาอย่างรวดเร็วในช่วงสั้น ๆ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสถานการณ์ Overbought
  3. ค่าผ่านเฉลี่ยสูงสุด: ราคาของหลักทรัพย์มีค่าเฉลี่ยสูงสุดในช่วงเวลาเป็นระยะเวลานาน แสดงถึงความเกิดการสะสมผู้ซื้อเข้ามามากขึ้น

ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้ในการตรวจสอบสถานการณ์ Overbought ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่พัฒนาขึ้นเพื่อวัดความเร็วและขอบเขตของการเคลื่อนไหวของราคา โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการระบุว่าตลาดหรือหลักทรัพย์อยู่ในสถานการณ์ Overbought หรือไม่ โดยRSI ถูกสูตรคำนวณโดยใช้สูตรดังนี้:

RSI = 100 – (100 / (1 + RS))

โดยที่ RS (Relative Strength) คือ อัตราส่วนของเคลื่อนไหวเชิงบวกและเคลื่อนไหวเชิงลบของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ทั้ง RSI และ RS จะอยู่ในช่วงค่า 0-100 เมื่อ RSI มีค่ามากกว่า 70 อาจแสดงถึงสถานการณ์ Overbought ซึ่งตัวอย่างการใช้งาน RSI เป็นดังนี้

  • RSI มีค่าน้อยกว่า 30: หมายถึงสถานการณ์ Oversold ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ราคาอาจจะขึ้นตามมาในอนาคต
  • RSI มีค่ามากกว่า 70: หมายถึงสถานการณ์ Overbought ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ราคาอาจจะลงตามมาในอนาคต

Overbought มีอะไรบ้าง

“Overbought” คือสถานการณ์ในตลาดทางการเงินที่หมายถึงราคาหลักทรัพย์หรือตลาดมีการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรวดเร็วและมีผู้ลงทุนซื้อเข้ามามากเกินความต้องการหรือมูลค่าจริงของหลักทรัพย์นั้น สถานการณ์ Overbought อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงในการเกิดการแก้ไขราคาลดลงหรือการแก้ไขลดลงของตลาดในอนาคตใกล้ชิด โดยตัวอย่างสาธารณะของสถานการณ์ Overbought และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องได้แก่

Relative Strength Index (RSI)

การใช้ RSI ช่วยในการบ่งบอกสถานการณ์เมื่อหลักทรัพย์หรือตลาดเข้าสู่สถานการณ์ Overbought หรือ Oversold (การถือครองมากเกินไปหรือขายทอน) ซึ่งสามารถช่วยให้นักลงทุนรับรู้เมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็วและเป็นปัจจัยที่อาจช่วยในการตัดสินใจการลงทุนหรือการบริหารความเสี่ยง โดย RSI คำนวณจากอัตราส่วนของกำไรที่ผลิตขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาขึ้นกับขาดทุนที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งการคำนวณแบบพื้นฐานสามารถอธิบายได้ดังนี้:

    • RSI = 100 – (100 / (1 + RS))
    • RS = (เฉพาะราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยสังเคราะห์) / (เฉพาะราคาลดลงเฉลี่ยสังเคราะห์)

ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณ RSI จะอยู่ในช่วง 0-100 โดยค่า RSI ที่สูงกว่า 70 บ่งบอกถึงสถานการณ์ Overbought หรือมีการซื้อเข้ามามากเกินความต้องการ เมื่อ RSI มีค่าต่ำกว่า 30 แสดงถึงสถานการณ์ Oversold หรือมีการขายทอนมากเกินไป

การเพิ่มราคาอย่างรวดเร็ว

ราคาหลักทรัพย์มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการซื้อเข้ามามากขึ้น ทำให้ราคาขึ้นสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเพิ่มราคาอย่างรวดเร็วหมายถึงกรณีที่ราคาหลักทรัพย์หรือตลาดมีการเคลื่อนไหวขึ้นไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยมีการเพิ่มค่าราคาขึ้นอย่างเร่งรีบ บางครั้งอาจเกิดขึ้นจากกระแสซื้อเข้ามาอย่างมากหรือการลงทุนใหม่ที่เข้ามาในตลาด สถานการณ์นี้มักจะสร้างความตื่นเต้นในตลาดและทำให้ราคาสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ค่าผ่านเฉลี่ยสูงสุด

ค่าผ่านเฉลี่ยสูงสุด (Highest High) เป็นค่าที่ระบุถึงระดับสูงสุดของราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ นักลงทุนและนักวิเคราะห์ใช้ค่าผ่านเฉลี่ยสูงสุดเพื่อตรวจสอบระดับความสูงที่หลักทรัพย์หรือตลาดเคลื่อนไปในช่วงระยะเวลานั้น และอาจใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์เทคนิคเพื่อตัดสินใจในการลงทุนหรือการซื้อขาย โดยการคำนวณค่าผ่านเฉลี่ยสูงสุดนั้นเป็นการหาราคาสูงสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น สำหรับช่วงเวลาวันในกราฟราคาหุ้น ค่าผ่านเฉลี่ยสูงสุดจะหมายถึงราคาสูงสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ๆ

ความเหนื่อย (Oversold) ของผู้ลงทุน

ความเหนื่อย (Oversold) ของผู้ลงทุนเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ลงทุนหรือตลาดมีการร่วงลงอย่างรวดเร็วและมีการขายออกมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ราคาหลักทรัพย์หรือตลาดลดลงอย่างเต็มที่หรือมากกว่าความเสียหายจริง ความเหนื่อยเกิดจากสภาวะที่ผู้ลงทุนรู้สึกว่าตลาดหรือหลักทรัพย์นั้นมีการขายออกมากเกินไปและมีความต้องการในการซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น

สัญญาณของความเหนื่อย (Oversold) ส่วนใหญ่จะแสดงในการวิเคราะห์เทคนิคและตัวชี้วัดเชิงเทคนิคเช่น Relative Strength Index (RSI) หรือ Stochastic Oscillator โดยค่าตัวชี้วัดเหล่านี้จะมีค่าต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ (เช่น RSI ต่ำกว่า 30) ซึ่งอาจแสดงถึงความเหนื่อยของตลาดและความเป็นไปได้ในการกลับขึ้นของราคาในอนาคต

แบบแผนขาย

แบบแผนขาย (Selling Plan) เป็นกลยุทธ์หรือแผนการที่นักลงทุนใช้เพื่อขายหรือลดการถือครองหลักทรัพย์ที่อาจอยู่ในสถานการณ์ Overbought หรือเมื่อต้องการจัดการความเสี่ยงในการลงทุน แผนการขายนี้ช่วยให้นักลงทุนทำความเข้าใจว่าจะขายหลักทรัพย์เมื่อใดและทำอย่างไร โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ราคาหลักทรัพย์เป้าหมาย ปัจจัยทางเทคนิค และข้อมูลตลาดรวมถึงสถานการณ์ในตลาดทั้งหมดด้วย โดยผู้ลงทุนอาจวางแผนขายหรือลดการถือครองหลักทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงในสถานการณ์ Overbought

ผลกระทบจากข่าว

การเกิดสถานการณ์ Overbought อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบของข่าวสารหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในตลาดทางการเงิน ที่ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีแนวโน้มในการซื้อหรือเพิ่มการถือครองหลักทรัพย์มากขึ้น นี่คือตัวอย่างของผลกระทบจากข่าวที่อาจสร้างสถานการณ์ Overbought โดยข่าวสารหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ลงทุนเข้ามาซื้อหลักทรัพย์ในระยะเวลาสั้น ๆ อาจสร้างสถานการณ์ Overbought

การใช้งาน Overbought

การใช้งานสถานการณ์ Overbought เป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดทางการเงินและการตัดสินใจในการลงทุนการใช้งาน Overbought ช่วยให้ผู้ลงทุนทราบสภาวะตลาดและสามารถตัดสินใจในการลงทุน นี่คือวิธีที่ผู้ลงทุนสามารถใช้งาน Overbought เพื่อช่วยในการตัดสินใจ

  • การตรวจสอบตัวชี้วัดทางเทคนิค: นักลงทุนสามารถใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคเช่น Relative Strength Index (RSI) เพื่อตรวจสอบระดับการซื้อขายของหลักทรัพย์ หาก RSI มีค่าสูงกว่า 70 อาจเป็นสัญญาณแสดงถึงสถานการณ์ Overbought ในตลาด
  • ความเข้าใจแนวโน้มราคา: การเพิ่มราคาขึ้นอย่างรวดเร็วและการซื้อเข้ามามากเกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจเป็นสัญญาณของสถานการณ์ Overbought ดังนั้นผู้ลงทุนควรใช้การวิเคราะห์เทคนิคเพื่อจับแนวโน้มราคา
  • การใช้ตัวชี้วัดเพิ่มเติม: นอกจาก RSI ยังมีตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น Stochastic Oscillator, Moving Average Convergence Divergence (MACD) และ Bollinger Bands ที่สามารถช่วยในการตรวจสอบสถานการณ์ Overbought และสัญญาณการซื้อขาย
  • การวางแผนขาย: ผู้ลงทุนอาจตัดสินใจขายหรือลดการถือครองหลักทรัพย์เมื่อตลาดอยู่ในสถานการณ์ Overbought เพื่อลดความเสี่ยงจากการแก้ไขราคา
  • การสำรวจข่าวสาร: นักลงทุนควรติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจและการเงินที่อาจมีผลต่อตลาด ข่าวที่เป็นไปในทิศทางเชิงบวกหรือเชิงลบสามารถส่งผลให้เกิดสถานการณ์ Overbought หรือ Oversold
  • การใช้งานร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ: การตรวจสอบสถานการณ์ Overbought ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อให้มีภาพรวมที่เข้าใจได้ดีขึ้น

ยกตัวอย่างการใช้งาน Overbought

ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) การใช้งานสถานการณ์ Overbought เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาและการตัดสินใจในการเปิดหรือปิดตำแหน่งการซื้อขาย นี่คือตัวอย่างการใช้งาน Overbought ใน Forex นี้คือตัวอย่างนักลงทุนต้องการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค

  1. ตรวจสอบตัวชี้วัด RSI: นักลงทุนใช้ Relative Strength Index (RSI) เพื่อวัดระดับการซื้อขายของคู่สกุลเงิน EUR/USD หากค่า RSI สูงมาก (สูงกว่า 70) อาจแสดงถึงสถานการณ์ Overbought ที่ระดับราคาปัจจุบัน
  2. เช็คแนวรับแนวต้าน: นักลงทุนตรวจสอบเส้นแนวรับและแนวต้านในกราฟราคาเพื่อเห็นว่าราคาอาจจะถูกกั้นหรือพุ่งขึ้นในระดับที่สูงเกินไป (Overbought)
  3. เปรียบเทียบและตรวจสอบสัญญาณอื่น ๆ: นักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิคเพิ่มเติม เช่น ตัวชี้วัดอื่น ๆ และกราฟราคาเพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมที่อาจเป็นสัญญาณยืนยัน Overbought
  4. การเตรียมความพร้อมในการเปิดซื้อหรือขาย: หากตัวชี้วัดและการวิเคราะห์ราคาแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ Overbought นักลงทุนอาจเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเปิดตำแหน่งขายหรือปิดตำแหน่งซื้อ
  5. การจัดการความเสี่ยง: หากมีสถานการณ์ Overbought นักลงทุนควรพิจารณาการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม อาจทำการปิดตำแหน่งหรือใช้การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เช่น การใช้ Stop Loss

โดยสรุปการใช้งาน Overbought ใน Forex ใช้ในการตรวจสอบราคาที่เกินค่าเฉลี่ยปกติและมีแนวโน้มขาลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้มราคาในอนาคต แต่ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดและมั่นใจในการตัดสินใจการเทรด