เหรียญ luna เกิดอะไรขึ้น เหรียญluna2 ราคาเหรียญ luna ล่าสุด luna coin ข่าวล่าสุด วิเคราะห์ เหรียญ luna

เหรียญ Luna คืออะไร

เหรียญ “LUNA” เป็นเหรียญพื้นฐานของ Terra blockchain, ซึ่งเป็นเครือข่าย blockchain ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนเครื่องมือการเงินเสถียรและเหรียญ stablecoin ต่าง ๆ บน Terra blockchain นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อที่จะใช้สำหรับการคำนวณ, การทำการเงิน, และการสนับสนุนราคาสำหรับเหรียญ stablecoin ที่ผูกติดกับสกุลเงินต่าง ๆ ในขณะที่ LUNA ใช้เป็นเหรียญพื้นฐานในการรักษาความมั่นคงของราคาสำหรับเหรียญ stablecoin นั้นๆ และใช้เป็นตัวแทนในการควบคุมต่าง ๆ ของเครือข่าย Terra.

LUNA มีหลายความสามารถใน Terra ecosystem ซึ่งรวมถึง:

1. การควบคุม: ผู้ถือ LUNA สามารถเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจของ Terra ecosystem.
2. การรักษาความมั่นคงของราคา: เมื่อมีความต้องการเหรียญ stablecoin เพิ่มขึ้น, LUNA จะถูกใช้เพื่อของเสียเป็นการแลกเปลี่ยนกับเหรียญ stablecoin ใหม่.
3. ค่าธรรมเนียม: การทำธุรกรรมบน Terra blockchain จะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมในรูปแบบของ LUNA.

Terra และ LUNA ได้รับความนิยมเนื่องจากแนวคิดในการสร้างเหรียญ stablecoin ที่มีความมั่นคงและได้รับการยอมรับในการใช้งานจริง, ซึ่งอาจจะนำไปสู่การใช้ในการชำระเงินขององค์กรต่าง ๆ หรือการทำธุรกรรมต่างประเทศ.

 

Terra (LUNA) และกลไกการรักษาความเสถียรของราคา:

Terra คือ blockchain ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนเหรียญ stablecoin อย่าง UST (Terra USD). เหรียญ LUNA เป็นส่วนสำคัญของ Terra ในการรักษาความเสถียรของ UST.

การทำงานของ LUNA ในการรักษาความเสถียรของ UST อยู่บนกลไกดังนี้:

• เมื่อ UST มีมูลค่าเกิน 1 ดอลลาร์: ระบบจะใช้ LUNA ซื้อคืน UST เพื่อเพิ่ม Supply ของ UST และลดมูลค่า UST ให้สู่ 1 ดอลลาร์
• เมื่อ UST มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์: ระบบจะพิมพ์ LUNA เพื่อซื้อ UST และลด Supply ของ UST ดันราคา UST ขึ้นสู่ 1 ดอลลาร์

คุณสมบัติเด่นของ Terra และ LUNA:

• ความเสถียรของ Stablecoin: การมีความผันผวนในค่าเงินจะก่อปัญหาในการใช้งานของสกุลเงินนั้น ๆ ทำให้การสร้าง Stablecoin ที่มีความเสถียรในการแลกเปลี่ยนมีความสำคัญมาก
• การสนับสนุนแอปพลิเคชั่น: Terra มีระบบสนับสนุนแอปพลิเคชั่นที่มีคุณภาพผ่าน Treasury, เป็นการส่งเสริมการพัฒนาภายใน Terra ecosystem.

Terra มาเพื่อแก้ปัญหาการผันผวนของค่าเงินในโลกคริปโตโดยการใช้กลไกการควบคุม Supply และ Demand ในรูปแบบคล้ายกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ และยังเป็นสะพานในการเชื่อมต่อระบบการเงินดิจิทัลและการเงินดั้งเดิม เปิดประตูให้กับโอกาสในอนาคตที่สกุลเงินดิจิทัลจะมีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน.

การได้มาของ Luna Terra

การสร้าง Stablecoins บนแพลตฟอร์ม Terra จำเป็นต้องใช้เหรียญ Luna ในฐานะสินทรัพย์อ้างอิง หมายความว่า ยิ่งมีการสร้าง Stablecoins บน Terra มากเท่าไหร่ ความต้องการเหรียญ Luna ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย

Terra มีบริการรับชำระเงินด้วย Stablecoins อย่าง KRT ที่อ้างอิงกับเงินวอนของเกาหลีใต้ ภายใต้แพลตฟอร์ม CHAI ปัจจุบัน CHAI ได้เชื่อมต่อกับธนาคาร 14 แห่งในเกาหลี, ร้านสะดวกซื้อชั้นนำ 3 แห่ง, บริษัทเกมส์ยักษ์ใหญ่อย่าง Nexon, และบริษัทด้านอีคอมเมิร์ซชั้นนำอย่าง TMON และ GMV

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลเกาหลีใต้ยังมาสนับสนุน Terra โดยการให้ทดลองใช้ KRT ในรูปแบบของ Sandbox เพื่อทดสอบว่า Stablecoins สามารถใช้งานในชีวิตจริงได้มากน้อยแค่ไหน ทำให้ Terra ได้รับการจับตามองในเกาหลีมากขึ้น

Terra ยังมี Mirro Protocol สำหรับการสร้าง Synthetic Asset ที่สามารถสร้างโทเคนอ้างอิงกับหุ้นชั้นนำต่างๆ อย่าง Tesla, Amazon, Alphabet โดยใช้เหรียญ LUNA เป็นสินทรัพย์อ้างอิง นักลงทุนยังสามารถนำโทเคนเหล่านี้ไปทำ Yield Farming

แต่ไม่ได้หยุดที่นั้นเท่านั้น ยังมี Anchor Protocol ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Lending ที่อนุญาตให้เหรียญ Stablecoins ถูกใช้เป็นสินทรัพย์ปล่อยกู้และผู้ถือ Luna สามารถรับผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี โดยผลตอบแทนจะเป็นเหรียญ Luna

Terra และ Luna เป็นคู่หูในระบบ Blockchain ที่มีความเกี่ยวข้องแนบแน่นกันมาก. หากคุณต้องการได้ Terra, คุณจะต้องวาง Luna เป็นหลักประกัน. สำหรับการขุด Terra, นักขุดจำเป็นต้องวาง Luna (Stake) ก่อน จึงจะมีสิทธิ์ในการขุด. หลักการทำงานของระบบนี้อยู่บนการแต่งตั้งผู้ผลิตบล็อก โดยคนที่ได้รับสิทธิ์จะต้องวาง Luna ในปริมาณที่มากที่สุด. Luna จึงได้รับการนำมาใช้เป็นเหรียญสำรองที่ช่วยในการรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ Terra ให้สม่ำเสมอ หากราคา TerraUST ต่ำกว่า 1, ระบบจะแลก TerraUST ด้วย Luna เพื่อทำให้ราคา TerraUST สูงขึ้น ในทางกลับกัน หากราคา TerraUST สูงกว่าระดับที่กำหนด Luna ก็จะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเพื่อเลี้ยงระดับราคา TerraUST ให้กลับสู่สมดุล สรุปง่าย ๆ คือ Luna ถูกนำมาใช้เป็นเหรียญสำรองเพื่อปรับปรุงและรักษาระดับราคาของ Terra. ดังนั้น, มูลค่า Luna อาจจะลดลงเมื่อ Luna ถูกขุดเพิ่มเติมเพื่อรักษา Terra. แต่แม้ว่า Luna อาจเสื่อมค่าไปในระยะยาว แต่ก็ยังมีเหตุผลที่ทำให้คนต้องการขุดและวาง Luna, ซึ่งเราจะกล่าวถึงในส่วนถัดไป

 

เราได้ทราบว่าผู้ขุดเหรียญในระบบ Terra จะต้องสละ Luna ในการสนับสนุนระบบ และเพื่อรักษาความเสถียรของระบบ Terra นักขุดจึงต้องได้รับผลตอบแทนที่สอดคล้องกับการเสียสละนั้น และต่อไปนี้คือสรุปการให้ผลตอบแทนแก่นักขุด:

1. ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: ค่าธรรมเนียมที่ได้รับเมื่อมีการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงิน Terra ในอัตรา 0.1%-1.00% ทำให้ผู้ทำธุรกรรมได้รับค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม และนักขุดก็ได้รับผลตอบแทน.
2. Seigniorage หรือการเบิร์น Luna: เมื่อความต้องการต่อสกุลเงิน Terra เพิ่มขึ้น ระบบจะขุด Terra และใช้มันแลก Luna แล้วทำการเบิร์น Luna ซึ่งการกระทำนี้ทำให้ Luna มีค่ามากขึ้น.
3. ความไม่แน่นอน: อาจมีการเปลี่ยนแปลงในค่าธรรมเนียมธุรกรรมและการเบิร์น Luna เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งความไม่แน่นอนด้านค่าธรรมเนียมและ Supply ของ Luna ซึ่งระบบมีมาตรการในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้
4. การควบคุมการปรับเปลี่ยน: ระบบ Terra มีโปรโตคอลที่ช่วยในการปรับค่า Fee และการเบิร์น Luna อัตโนมัติ ด้วยการตรวจสอบสภาพคล่องในระบบทุกสัปดาห์ เพื่อรักษาความสมดุลและสถิติของระบบ.

ด้วยการออกแบบสมดุลนี้ ระบบ Terra ให้ความมั่นใจแก่นักขุดว่าทุกครั้งที่พวกเขาทำการขุดและเสียสละ Luna พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนที่สอดคล้องและเหมาะสม.

 

การล่มสลายของราคา

วิกฤติของ Terra และ LUNA: การตกต่ำจากดวงจันทร์

1. พื้นฐานของ Terra:
   • เมื่อ ค.ศ.2018, โครงการ Terra ถูกก่อตั้งขึ้นโดยแดเนียล ชิน และโด ควอน.
   • โดยมุ่งหวังในการสร้างเหรียญเสถียรด้วยอัลกอริทึม ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ในโลกจริง.
   • สกุลเงินเรือธงของ Terra คือ TerraUSD (UST) ซึ่งมีราคาตรึงกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 1:1.
2. ราคาและผลตอบแทนของ LUNA:
   • ราคาเคยพุ่งสูงสุดที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลังจากนั้นร่วงลงมาถึง 2 เซ็นต์.
3. ความเสี่ยงและปัญหาที่เกิดขึ้น:
   • หลายท่านสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุของการตกต่ำของ TerraUSD และมีความเชื่อว่ามีการเล่นนายในราคา.
   • การร่วงของ TerraUSD ไปถึง 10 เซนต์ ทำให้ความเชื่อมั่นต่อโครงข่าย Terra และสกุลเงินเข้ารหัสต้องสั่นคลอน.
4. การวิเคราะห์จากทฤษฎี:
   • สถานการณ์นี้สามารถเปรียบเทียบได้กับวิกฤติปี 2540 ที่เกิดกับเงินบาท.
   • ทฤษฎี ‘สามเป็นไปไม่ได้’ ชี้แจงว่าไม่สามารถมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่, เงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี, และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระได้พร้อมกัน

ทฤษฎีระบบการเงินที่อธิบายปรากฏการณ์นี้

1. อัตราแลกเปลี่ยนคงที่และเงินทุนเคลื่อนย้ายเสรี: ในกลุ่มนี้ สกุลเงินถูกกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่และเงินสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี. ตัวอย่างเด่นคือสกุลเงินยูโร ที่ประเทศในสหภาพยุโรปสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ในอัตรา 1:1. แต่ข้อจำกัดคือนโยบายการเงินที่ไม่สามารถกำหนดได้โดยอิสระ เนื่องจากธนาคารกลางยุโรปเป็นผู้กำหนด.
2. เงินทุนเคลื่อนย้ายเสรีและนโยบายการเงินอิสระ: สกุลเงินในกลุ่มนี้ไม่มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ แต่มีนโยบายการเงินที่อิสระ. ตัวอย่างคือสหรัฐอเมริกา และประเทศไทย.
3. อัตราแลกเปลี่ยนคงที่และนโยบายการเงินอิสระ: ประเทศที่ใช้ระบบนี้ สามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างเป็นอิสระ และมีนโยบายการเงินที่อิสระ. ประเทศจีนเป็นตัวอย่าง.

TerraUSD ได้แสดงตนเป็นสกุลเงินที่ท้าทายหลักของการจัดการการเงิน โดยพยายามตรึงอัตราแลกเปลี่ยนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 1:1, ให้ซื้อขายเงินได้อย่างเสรี, และมีนโยบายการเงินที่แตกต่าง. แต่เมื่อความเสี่ยงของการเสียความเสถียรภาพเกิดขึ้น ศรัทธาของนักลงทุนก็เริ่มสลายหาย.