Proof of Capacity (PoC) คืออะไร Proof of Capacity (PoC) หรือ การพิสูจน์ความจุที่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูล คือกลไกการทำงานในบล็อกเชน (blockchain) ที่ใช้การเก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์เป็นหลักเพื่อการพิสูจน์ความสมบูรณ์ของผู้เหมาะสมในการสร้างบล็อกใหม่ในระบบ blockchain หรือ cryptocurrency บางประเภท โดย PoC มีความแตกต่างจาก Proof of Work (PoW) และ Proof of Stake (PoS) ซึ่งเป็นกลไกการทำงานในบล็อกเชนอื่น ๆ ที่มีการตรวจสอบความถูกต้องของการทำงานโดยอยู่ในขั้นตอนการหาบล็อกใหม่และการตรวจสอบการทำงานก่อนที่จะถูกยอมรับในระบบ blockchain. กลไกการทำงาน PoC ผู้ใช้จะต้องใช้พื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของพวกเขาเพื่อสร้าง “พล็อต” (plots) ที่เก็บข้อมูลสุ่ม (randomly generated data) และการสร้างพล็อตนี้จะใช้เวลาและพล็อตหลาย ๆ อันก็จะใช้พื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ หลังจากนั้น พล็อตที่ถูกสร้างขึ้นนี้จะถูกใช้ในกระบวนการการพิสูจน์ความสมบูรณ์ของการสร้างบล็อกใหม่ ผู้ที่มีพล็อตที่มากที่สุดและสามารถแสดงถึงความพร้อมในการใช้พล็อตนั้นในการสร้างบล็อกถัดไปจะได้รับรางวัลในระบบ cryptocurrency ที่ใช้อยู่. Proof of Capacity (PoC) (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Author Archives: admin
Proof of Authority (PoA) คืออะไร Proof of Authority (PoA) เป็นอัลกอริทึมการทำงานในระบบบล็อกเชน (blockchain) ที่ใช้วิธีการตรวจสอบผู้รับรองข้อมูลเพื่อสร้างบล็อกและทำการตรวจสอบธุรกรรมในเครือข่าย อัลกอริทึมนี้มีความแตกต่างจาก Proof of Work (PoW) และ Proof of Stake (PoS) ที่ใช้วิธีการตรวจสอบอื่น ๆ ซึ่งใช้การขุดหรือการรักษาเหรียญเป็นวิธีในการตรวจสอบการทำธุรกรรม โดย PoA เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบภายในขององค์กรหรือโครงการที่ต้องการความรวดเร็วและประหยัดทรัพยากร การทำงานของ PoA มีผู้รับรองความถูกต้องหรือ “ผู้รับรองของความเป็นจริง” (validators) ที่รับผิดชอบในการตรวจสอบธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ในเครือข่าย ผู้รับรองเหล่านี้มักเป็นหน่วยงานหรือบุคคลที่มีความเชื่อถือและความสมบูรณ์ และต้องมีสิทธิในการรับรองการทำธุรกรรม เรียกว่า “สิทธิของความเชื่อถือ” (authority) ซึ่งเป็นเหรียญหรือค่าเงินที่ใช้ในการรับรองการทำธุรกรรมและสร้างบล็อก PoA มีข้อดีในระบบที่ต้องการความรวดเร็วและความเสถียร โดยเฉพาะในการใช้ในระบบภายในขององค์กรหรือโครงการที่ไม่ต้องการการแข่งขันในการขุดหรือรักษาเหรียญ Proof of Authority (PoA) ทำงานอย่างไร Proof of Authority (PoA) ทำงานอย่างง่ายและเป็นระบบที่มีกระบวนการตรวจสอบและสร้างบล็อกในเครือข่ายบล็อกเชนด้วยวิธีที่สื่อสารสองฝ่ายกับกันโดยใช้สิทธิ์ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ดังนี้: ผู้รับรองความถูกต้อง (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Wrapped ETH (WETH) คืออะไร Wrapped ETH (WETH) คือการแพ็คเก็จของ Ethereum (ETH) ในรูปแบบของ Token ERC-20 บน blockchain ของ Ethereum เอง จุดประสงค์หลักของการใช้ WETH คือเพื่อให้ ETH สามารถทำงานได้เหมือนกับ token ERC-20 อื่น ๆ ซึ่งทำให้สามารถทำให้เข้ากับสมาร์ทคอนแทรกท์ได้มากขึ้น และสามารถใช้งานในโปรเจค DeFi และ DApps ต่างๆ ที่เบื้องต้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้สามารถทำงานได้กับ token ERC-20 การแปลง ETH เป็น WETH จะเป็นการส่ง ETH ไปยังสมาร์ทคอนแทรกท์ที่ระบุ แล้วสมาร์ทคอนแทรกท์นั้นจะสร้าง WETH ให้เท่ากับ ETH ที่ส่งมา การกระบวนนี้สามารถย้อนกลับได้ คือ คุณสามารถแปลง WETH กลับเป็น ETH ได้โดยการส่ง (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Token คืออะไร Token คือเหรียญคริปโตฯที่ไม่มี Blockchain เป็นของตัวเองและถูกสร้างขึ้นบน Blockchain ของแพลตฟอร์มอื่น ๆ มักมีวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงและใช้ในระบบหรือแพลตฟอร์มที่กำหนดไว้ โดย Token มักถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในระบบนิเวศหรือโครงการเฉพาะ ๆ และมีลักษณะและการใช้งานที่หลากหลาย เช่น ใช้เป็นตั๋วหรือแต้มสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือเข้าใช้บริการต่าง ๆ และอาจถูกใช้เพื่อการลงทุนหรือออกเสียงในธุรกิจที่มีการใช้ Token เหล่านี้ Token มักถูกสร้างขึ้นบน Blockchain ของแพลตฟอร์มอื่น ๆ และไม่มี Blockchain ของตัวเองโดยตรง โดยการสร้าง Token นั้นสามารถทำได้โดยใช้สัญญาอัจฉริยะ (smart contract) บนแพลตฟอร์ม Blockchain นั้น ๆ เพื่อกำหนดคุณสมบัติและการทำงานของ Token ตามต้องการของผู้สร้าง Token มักถูกสร้างขึ้นบน blockchain และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากการที่มีการบันทึกข้อมูลและการยืนยันของระบบ blockchain ทำให้ยากต่อการปลอมแปลงและการแก้ไขข้อมูลที่อยู่ใน Token นั้น ๆ อย่างผิดกฎหมาย ประเภทของ Token การแบ่งแยกนี้มีความสำคัญในการระบุคุณสมบัติและการใช้งานของ (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Staking Pool คืออะไร Staking Pool หรือ พูลการถือครอง (Staking Pool) เป็นกลุ่มของผู้ถือสินทรัพย์ดิจิทัล (cryptocurrency) ที่รวมกันเพื่อร่วมกันถือครองและรับผลตอบแทนจากการถือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีระบบการโปรโตคอล Proof of Stake (PoS) หรือการจ่ายดอกเบี้ยตามสิทธิถือครอง (staking) ของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ โดยเฉพาะกัน พื้นฐานของ staking คือการล็อกสินทรัพย์ดิจิทัลบางปริมาณเป็นการรักษาเข้ากับเครือข่าย blockchain เพื่อช่วยในกระบวนการยืนยันธุรกรรมและรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ในการ PoS, ผู้ถือสินทรัพย์ที่ล็อกเครือข่ายจะมีโอกาสได้รับรางวัลตอบแทนในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้น เช่น การได้รับเหรียญ cryptocurrency ที่เพิ่มขึ้นหรือค่าธรรมเนียมที่ระดับโฮสต์และนายตัวเลือก. Staking Pool ทำให้ผู้ถือสินทรัพย์ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมากของสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อรับผลตอบแทนที่มากขึ้น แทนที่จะต้องล็อกสินทรัพย์เป็นระเบียบส่วนตัว พวกเขาสามารถร่วมกันในพูลและมีความน่าจะเป็นที่จะได้รับรางวัลเนื่องจากการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าร่วมในพูลนั้น ๆ ในแบบ PoS, การเลือกหาผู้ถือสินทรัพย์ที่จะทำให้บล็อกถูกสร้างมักจะมีโอกาสได้รับรางวัลตามสิทธิถือครอง (staking) ของผู้ถือสินทรัพย์ เพียงคนเดียว แต่ใน Staking Pool, กลุ่มนั้นรวมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับรางวัลแต่ละคนในกลุ่ม เหรียญ stake คืออะไร เหรียญ Stake (Staking (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Stablecoins คืออะไร Stablecoins คือ cryptocurrency ที่ออกแบบมาเพื่อมีค่าคงที่หรือเสมอไปตามค่าของสินค้าหรือสกุลเงินที่มีมูลค่าที่มั่นคง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือ ยูโร (EUR) ซึ่งมีความคงที่และไม่มีความผันผวนมากเมื่อเทียบกับ cryptocurrency อื่น ๆ ที่มีราคาแปรปรวนมากทั้งวัน โดย Stablecoins มักถูกใช้เพื่อเป็นวิธีในการซื้อขาย cryptocurrency และโอนเงินระหว่างผู้ใช้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนในราคา เนื่องจากมีค่าที่คงที่ นอกจากนี้ยังมีการใช้งานในการลงทุนและการเก็บเงินในสถานการณ์ที่ตลาด cryptocurrency มีความไม่คงเส้นคงวาม ดังนั้นสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดจากการผันผวนในราคาของ cryptocurrency แบบทั่วไปได้ Stablecoins มีความสำคัญในโลก cryptocurrency เนื่องจากเป็นวิธีในการเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน cryptocurrency และในการแลกเปลี่ยนค่าระหว่าง cryptocurrency และเงินทางการเงินดังกล่าว. การมี stablecoins ที่มีค่าคงที่มีประสิทธิภาพและการจัดการรักษาค่าคงที่เป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาและการนำ cryptocurrency มาใช้ในสายงานต่าง ๆ ในสังคมและธุรกิจ Stablecoins มีอะไรบ้าง Stablecoin คือ cryptocurrency ที่มีมูลค่าคงที่หรือเสมอไปตามมูลค่าของสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่น ๆ ที่มีค่าที่มั่นคง ประเภทของ stablecoin มีดังนี้: (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Smart Contracts คืออะไร Smart Contracts เป็นโครงสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนขึ้นบนบล็อกเชน (Blockchain) และมีความสามารถในการดำเนินการและประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสมาร์ทคอนแทร์คถูกปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ เราสามารถพูดได้ว่าสมาร์ทคอนแทร์คคือ “สัญญาอัจฉริยะ” ที่มีความสามารถในการดำเนินการทางธุรกิจโดยไม่ต้องผ่านผู้กำกับหรือคนกลาง และการทำงานของสมาร์ทคอนแทร์คนั้นถูกบันทึกและยืนยันในบล็อกเชนเพื่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ โดยทั่วไปแล้ว, สมาร์ทคอนแทร์คถูกเขียนด้วยภาษาโปรแกรมเชิงสัญชาตญาณ เช่น Solidity สำหรับบล็อกเชน Ethereum หรืออื่นๆ ตามบล็อกเชนที่ใช้งาน Smart Contracts มีการใช้งานหลากหลายในโลกดิจิทัล รวมถึงการทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์, การจัดการการโอนเงินและการชำระเงินอัตโนมัติ, การบริหารจัดการพื้นที่ทำงานและการตลาด, การจัดการสิทธิการลงทุน, การสนับสนุนความร่วมมือในโครงการพันธมิตรทางธุรกิจ, และการทำสัญญาประกันภัย เป็นต้น สมาร์ทคอนแทร์คมีศักยภาพในการลดความซับซ้อนและความผิดพลาดในกระบวนการทางธุรกิจ และมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้นเนื่องจากการทำงานบนบล็อกเชน Smart Contracts มีอะไรบ้าง Smart Contract คือโครงสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนขึ้นบนบล็อกเชน (Blockchain) และมีความสามารถในการดำเนินการและประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติเมื่อเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขสัญญาเกิดขึ้น โดยที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขหรือโกงสัญญาที่ถูกเขียนไว้ได้ ยกตัวอย่างของสมาร์ทคอนแทร์คที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในการสร้างแพลตฟอร์ม DApps (Decentralized applications) และออก Token ต่าง ๆ ในตอนนี้เลยคือ Ethereum Chain โดย Smart Contract (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
SHA-256 คืออะไร SHA-256 หมายถึง Secure Hash Algorithm 256-bit ซึ่งเป็นหนึ่งในฟังก์ชันการแฮช (hash function) ที่ใช้ในความปลอดภัยและการเข้ารหัสข้อมูลในด้านความปลอดภัยของข้อมูล (cryptography) และความปลอดภัยของรหัส (code security) ข้อมูลที่ถูกแฮชด้วย SHA-256 จะถูกแปลงเป็นสตริงของตัวเลขแบบความยาว 256 บิต (หรือ 64 ตัวอักษรฐาน 16) ซึ่งเป็นค่าแฮชที่ไม่สามารถกลับไปคำนวณหาข้อมูลต้นฉบับได้จากค่าแฮชเดียวกัน (collision-resistant) และมีความค้างคาวามสามารถในการคำนวณค่าแฮชแบบย้อนกลับ (pre-image resistance) ซึ่งหมายความว่ามันยากและเป็นไปไม่ได้ที่จะหาข้อมูลต้นฉบับจากค่าแฮชที่ได้มา. SHA-256 ถูกใช้กว้างขวางในการตรวจสอบความคงเหลือของข้อมูล (data integrity), การสร้างลายเซ็นดิจิทัล (digital signatures), การเข้ารหัสรหัสผ่าน (password hashing), และหลายๆ งานด้านความปลอดภัยอื่นๆ นอกจากนี้ SHA-256 ยังถูกใช้ในการขุดบล็อก (block mining) ในระบบบล็อกเชน (blockchain) ของ Bitcoin และความให้ความยั่งยืนและความปลอดภัยของระบบบล็อกเชนอื่นๆ ด้วย การทำงานของ (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
Seed Phrase คืออะไร การเข้าถึงและการรักษาความปลอดภัยสำหรับเงินสดดิจิทัลหรือสินทรัพย์ดิจิทัลในวงการ Blockchain เป็นเรื่องที่ยุ่งยากแต่สำคัญมาก ๆ หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ผู้ใช้มีความปลอดภัยในการจัดเก็บเงินของตนเองคือ “Seed Phrase” หรือ “Recovery Phrase”. นิยามของ Seed Phrase Seed Phrase หรือ Recovery Phrase เป็นกลุ่มของคำศัพท์ (ประมาณ 12, 15, 18, 21 หรือ 24 คำ) ที่ถูกใช้เป็นรหัสสำหรับกู้คืนการเข้าถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล (cryptocurrency wallet) ของผู้ใช้ในกรณีที่พวกเขาสูญเสียการเข้าถึงอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันที่ใช้จัดเก็บสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง คำศัพท์เหล่านี้เป็นคำธรรมดาที่อยู่ในภาษาอังกฤษ (หรือภาษาอื่น ๆ ตามกระเป๋าเงินที่ใช้) แต่เมื่อจัดเรียงตามลำดับที่ถูกต้อง ก็จะสามารถกู้คืนการเข้าถึงกระเป๋าเงินของผู้ใช้ได้ ความเป็นมาของ Seed Phrase: เมื่อวงการเงินดิจิทัลหรือสกุลเงินคริปโตเริ่มมีการเจริญเติบโต, ความปลอดภัยในการจัดเก็บและเข้าถึงกระเป๋าเงินดิจิทัลกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้น การสูญเสียเงินดิจิทัลเนื่องจากการถูกโจรกรรม, การป้องกันไม่ดี, หรือการสูญเสียอุปกรณ์จึงเป็นปัญหาใหญ่ Seed Phrase ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเป็นวิธีในการบันทึกข้อมูลส่วนตัวในรูปแบบที่จำง่ายและปลอดภัย หากกระเป๋าเงินดิจิทัลของคุณถูกลบหรือสูญหาย, Seed Phrase สามารถใช้กู้คืนข้อมูลได้. (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)
เมื่อพูดถึง “Satoshi”, คำนี้อาจหมายถึงสองสิ่ง: หน่วยขนาดเล็กที่สุดของ Bitcoin และนามปากกาของผู้ที่สร้าง Bitcoin มาให้กับโลก เราจะสำรวจทั้งสองความหมายเพื่อเข้าใจถึงสาระและความสำคัญที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำนี้ Satoshi ในฐานะหน่วยของ Bitcoin Satoshi เป็นหน่วยย่อยสุดของ Bitcoin, ซึ่งเป็นหน่วยที่มีขนาดเล็กที่สุดที่สามารถบันทึกไว้ใน blockchain ของ Bitcoin หนึ่ง Bitcoin ประกอบด้วย 100 ล้าน Satoshi ดังนั้น, 0.00000001 BTC เท่ากับ 1 Satoshi. การใช้หน่วยย่อยเช่น Satoshi มีประโยชน์มากในการจัดการธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ำ, โดยเฉพาะเมื่อราคา Bitcoin ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การมีหน่วยที่ย่อยลงไปถึงระดับ Satoshi ทำให้ Bitcoin สามารถใช้งานในหลากหลายธุรกรรมและสถานการณ์ได้ เมื่อพูดถึงสกุลเงินดิจิทัล, Bitcoin จะปรากฏเป็นหัวข้อหลักที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ด้วยความแปลกใหม่และการบุกเบิกทางเทคโนโลยีที่ฟื้นฟูวงการการเงิน บิตคอยน์ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ต่อการเงินและการทำธุรกรรมแบบดิจิทัล. และเมื่อเราพูดถึงการทำธุรกรรมแบบจุนจุรขนาดเล็กที่เกี่ยวกับ Bitcoin, “Satoshi” จึงเป็นคำที่ไม่สามารถข้ามไปได้. การปรากฏของหน่วย “Satoshi” มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่ซับซ้อนของผู้ใช้งาน (อ่านข้อมูลฉบับเต็ม)