อัตราส่วนวัดมูลค่าตลาด คืออะไร Market Value Ratio สูตรคำนวณ อธิบายยกตัวอย่างการคำนวณ ข้อดีข้อเสียข้อจำกัด

อัตราส่วนวัดมูลค่าตลาด คืออะไร

อัตราส่วนวัดมูลค่าตลาดเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนใช้เพื่อประเมินมูลค่าของบริษัทในตลาดหุ้น เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบระหว่างบริษัทหรือภาคการลงทุน. ส่วนใหญ่จะใช้สูตรการคำนวณจากข้อมูลในงบการเงินของบริษัทและราคาหุ้นในตลาดหุ้น.

ประเภทของอัตราส่วนวัดมูลค่าตลาด

  1. อัตราส่วนตลาดต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio, P/E Ratio)
    • คำนวณ: ราคาต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น (EPS)
    • ใช้ประเมินว่าหุ้นถูกหรือแพงตามการประเมินของตลาด
  2. อัตราส่วนตลาดต่อสินทรัพย์สุทธิ (Market to Book Ratio, M/B Ratio)
    • คำนวณ: มูลค่าตลาดของบริษัท / มูลค่าหุ้นทุนสุทธิ
    • ประเมินว่านักลงทุนกำลังจ่ายราคาสูงเพื่อซื้อสินทรัพย์ของบริษัทเท่าใด
  3. อัตราส่วนตลาดต่อรายได้ (Price to Sales Ratio, P/S Ratio)
    • คำนวณ: มูลค่าตลาดของบริษัท / รายได้จากการขาย
    • ใช้วิเคราะห์ในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร
  4. อัตราส่วนกำไรต่อแต่ละหุ้น (Earnings Per Share, EPS)
    • คำนวณ: กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นที่เปิดอยู่
    • แสดงกำไรที่บริษัทสร้างขึ้นต่อหุ้น

ตัวอย่างการคำนวณ

1. อัตราส่วนตลาดต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio, P/E Ratio)

    • คำนวณ: ราคาต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น (EPS)
    • ใช้ประเมินว่าหุ้นถูกหรือแพงตามการประเมินของตลาด

ตัวอย่างการคำนวณ อัตราส่วนตลาดต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio, P/E Ratio)

เรามาดูตัวอย่างของบริษัท A:

      1. ราคาต่อหุ้นของบริษัท A ณ วันนี้ = 100 บาท
      2. กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัท A ตามรายงานการเงินล่าสุด = 10 บาท

 

การคำนวณ PE raito
การคำนวณ PE raito

ดังนั้น, อัตราส่วนตลาดต่อหุ้น (P/E Ratio) ของบริษัท A คือ 10 ครั้ง

การแปลผล:

      1. หาก P/E Ratio ของบริษัท A สูงกว่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม, นั่นอาจบ่งชี้ว่าตลาดมีความคาดหวังในการเติบโตและประสิทธิภาพของบริษัท A มากกว่าบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม
      2. ในทางกลับกัน, หาก P/E Ratio ต่ำกว่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม, ตลาดอาจมองว่าหุ้นของบริษัท A มีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นอื่น ๆ หรือบริษัท A อาจไม่มีศักยภาพเติบโตเท่าที่ควร

ทั้งนี้, P/E Ratio ตามเดียวไม่สามารถระบุว่าหุ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่ ยังควรใช้ข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อวิเคราะห์ถึงศักยภาพและความเสี่ยงในการลงทุน.

2. อัตราส่วนตลาดต่อสินทรัพย์สุทธิ (Market to Book Ratio, M/B Ratio)

    • คำนวณ: มูลค่าตลาดของบริษัท / มูลค่าหุ้นทุนสุทธิ
    • ประเมินว่านักลงทุนกำลังจ่ายราคาสูงเพื่อซื้อสินทรัพย์ของบริษัทเท่าใด

M/B Ratio ใช้เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าตลาด (มูลค่ารวมของหุ้น) และมูลค่าหุ้นทุนสุทธิของบริษัท (สินทรัพย์รวม – หนี้สินรวม) อัตราส่วนนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่านักลงทุนพร้อมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ของบริษัทเท่าใด ถ้า M/B Ratio มากกว่า 1, นักลงทุนพร้อมจ่ายเงินมากกว่ามูลค่าหุ้นทุนสุทธิของบริษัท

ตัวอย่างการคำนวณ:

เรามาดูตัวอย่างของบริษัท B:

      1. มูลค่าตลาดของบริษัท B (หรือราคาต่อหุ้น คูณ ด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด) = 1,000 ล้านบาท
      2. มูลค่าหุ้นทุนสุทธิของบริษัท B ตามงบการเงินล่าสุด = 800 ล้านบาท
การคำนวณ MBratio
การคำนวณ MBratio

ดังนั้น, อัตราส่วนตลาดต่อสินทรัพย์สุทธิ (M/B Ratio) ของบริษัท B คือ 1.25 ครั้ง

การแปลผล:

      1. M/B Ratio ที่อยู่ที่ 1.25 บ่งชี้ว่าตลาดพร้อมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ของบริษัท B มากกว่ามูลค่าหุ้นทุนสุทธิของบริษัท 1.25 ครั้ง.
      2. หาก M/B Ratio มากกว่า 1, นั่นอาจบ่งชี้ว่าตลาดมีความคาดหวังในการเติบโตของบริษัทในอนาคต แต่หากอยู่ต่ำกว่า 1, นั้นอาจบ่งชี้ว่าตลาดไม่ค่อยมีความมั่นใจในศักยภาพของบริษัท.

3. อัตราส่วนตลาดต่อรายได้ (Price to Sales Ratio, P/S Ratio)

    • คำนวณ: มูลค่าตลาดของบริษัท / รายได้จากการขาย
    • ใช้วิเคราะห์ในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร

P/S Ratio เป็นอัตราส่วนที่ใช้เปรียบเทียบมูลค่าตลาดของบริษัทกับรายได้จากการขายของบริษัท อัตราส่วนนี้มักถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์บริษัทที่ยังไม่มีกำไรหรือบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพที่เริ่มต้นธุรกิจมาเพียงไม่นาน

ตัวอย่างการคำนวณ:

กำหนดว่าบริษัท C มี:

      1. มูลค่าตลาดของบริษัท C = 500 ล้านบาท
      2. รายได้จากการขายของบริษัท C ตามงบการเงินล่าสุด = 100 ล้านบาท
การคำนวณ ps ratio
การคำนวณ ps ratio

ดังนั้น, อัตราส่วนตลาดต่อรายได้ (P/S Ratio) ของบริษัท C คือ 5 ครั้ง

การแปลผล:

      1. P/S Ratio ที่อยู่ที่ 5 บ่งชี้ว่านักลงทุนพร้อมจ่ายเงิน 5 บาทเพื่อซื้อรายได้จากการขาย 1 บาทของบริษัท C.
      2. ถ้า P/S Ratio สูง, บ่งชี้ว่าตลาดมีความคาดหวังในการเติบโตของรายได้ของบริษัทในอนาคต แต่ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ, นั่นอาจหมายความว่าตลาดไม่ค่อยมีความมั่นใจในศักยภาพของรายได้ของบริษัท.

4. อัตราส่วนกำไรต่อแต่ละหุ้น (Earnings Per Share, EPS)

    • คำนวณ: กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นที่เปิดอยู่
    • แสดงกำไรที่บริษัทสร้างขึ้นต่อหุ้น

EPS คือ การแสดงกำไรที่บริษัทสามารถสร้างขึ้นในเทอมของกำไรต่อหุ้น ทำให้นักลงทุนสามารถเห็นภาพรวมของการดำเนินงานและความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัทอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างการคำนวณ:

กำหนดว่าบริษัท D มี:

      1. กำไรสุทธิ = 10 ล้านบาท
      2. จำนวนหุ้นที่เปิดอยู่ (หุ้นสามัญ) = 1 ล้านหุ้น

 

การคำนวณ EPS
การคำนวณ EPS

ดังนั้น, กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัท D คือ 10 บาทต่อหุ้น

การแปลผล:

      1. EPS ที่เท่ากับ 10 บาทหมายความว่า หากบริษัท D แจกจ่ายทั้งหมดของกำไรสุทธิของมันเป็นเงินปันผล, แต่ละหุ้นของบริษัท D จะได้รับ 10 บาท
      2. EPS เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์หุ้น มักจะถูกนำไปใช้ร่วมกับอัตราส่วนวัดมูลค่าตลาดอื่นๆ เช่น P/E Ratio ที่เราได้กล่าวถึงไว้ก่อนหน้านี้.

มูลค่าทางบัญชี กับ มูลค่าตลาด

มูลค่าทางบัญชี (Book Value) คือ มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิของบริษัท ซึ่งหมายถึง มูลค่าของสินทรัพย์รวมหักด้วยหนี้สินรวม:

"มูลค่าทางบัญชี=สินทรัพย์รวม−หนี้สินรวม"

ตัวอย่าง:

บริษัท ABC มีสินทรัพย์รวม 200 ล้านบาท และหนี้สินรวม 90 ล้านบาท, มูลค่าทางบัญชีของบริษัทจะเป็น 110 ล้านบาท (200 – 90) สินทรัพย์รวมของบริษัทจะครอบคลุมทั้งสินทรัพย์ทางการเงิน และ สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน เช่น สินค้าคงคลัง, ที่ดิน, อาคาร, เครื่องหมายการค้า และทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ ส่วนหนี้สินรวมคือ หนี้ทั้งหมดที่ธุรกิจต้องชำระ เช่น เจ้าหนี้การค้า หรือ หนี้จากสถาบันการเงิน.

หลังจากคำนวณได้มูลค่าทางบัญชีแล้ว, เราสามารถหามูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share) ได้โดยการนำมูลค่าทางบัญชีหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ต่อมาคือ มูลค่าตลาด (Market Value) ซึ่งคือ ราคาตามที่ตลาดประเมินหุ้นของบริษัท โดยมีผลตามการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การเลือกหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอาจช่วยให้นักลงทุนสามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้, เพราะหุ้นดังกล่าวอาจถูกประเมินในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงของบริษัท การทราบถึงมูลค่าทางบัญชี และ มูลค่าตลาดของหุ้นจะช่วยให้นักลงทุนมีการตัดสินใจที่ดีขึ้น และเห็นภาพรวมของการลงทุนในหุ้นได้ชัดเจนมากขึ้น.

ข้อดีข้อเสียข้อจำกัด

  1. เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง: ราคาหุ้นของบริษัทสามารถเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงตลอดเวลาภายในแต่ละวันได้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายปัจจัยที่มากระทบ, ทำให้มูลค่าตามราคาตลาดอาจไม่สะท้อนภาพจริงของมูลค่าบริษัทเสมอไป.
  2. การเกิดวิกฤติ: มีโอกาสที่มูลค่าตลาดของบริษัทในบางภาคอาจสูงหรือต่ำเกินกว่ามูลค่าทางบัญชี, เช่น ในปี 1920 และวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000.
  3. ต้องระมัดระวังปัจจัยระยะสั้น: นักลงทุนควรระมัดระวังความเคลื่อนไหวราคาหุ้นระหว่างวันและปัจจัยที่มีผลกระทบระยะสั้น ๆ ที่อาจทำให้มูลค่าตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

การเปรียบเทียบมูลค่าตลาดกับมูลค่าทางบัญชี

  1. มูลค่าตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี: บริษัทที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมักเป็นสัญญาณว่าตลาดสูญเสียความมั่นใจในบริษัท และนักลงทุนหุ้นคุณค่ามักจะเห็นแก่บริษัทเหล่านี้เป็นโอกาส.
  2. มูลค่าตลาดสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี: บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีมักแสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพของบริษัท แต่อาจบ่งชี้ถึงการประเมินราคาที่สูงเกินมาตรฐาน.